แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องคำให้การแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัว มิได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์ ดังนี้ เป็นการพิพากษายกฟ้องโดยข้อกฎหมายมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานโดยอาศัยข้อเท็จจริงในคดี ถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 แม้โจทก์จะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยไว้ โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นนั้นได้ (อ้างฎีกาที่ 1689/2497)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหอมกลุ่น กสิวิทย์ อายุ 15 ปี และเป็นนักเรียนโรงเรียนวัดบ่อแร่ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นครูประจำชั้นโรงเรียนวัดบ่อแร่ได้มาขอแรงนักเรียนประมาณ 15 คน ซึ่งมีนายหอมกลุ่นรวมอยู่ด้วย ให้ไปยกท่อนไม้ที่ตัดทิ้งไว้ในโรงเรียนออกไปทิ้ง โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมสั่งให้ยก ขณะยกท่อนไม้ได้อุบัติเหตุหลุดจากมือ เป็นเหตุให้ทับขาขวาของนายหอมกลุ่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลประมาณ1 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นครูใหญ่ปกครองควบคุมดูแลรับผิดชอบนักเรียนทั้งโรงเรียน การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดและประมาทปราศจากความระมัดระวัง ฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงมหาดไทยซึ่งจำเลยทั้งสองสังกัดอยู่และระหว่างเกิดเหตุ นายหอมกลุ่นอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยทั้งสอง เป็นเหตุให้โจทก์กับนายหอมกลุ่นเสียหาย โดยโจทก์ต้องละทิ้งการประกอบอาชีพไปพยาบาลรักษา เสียค่ายา ค่ารักษาบาดแผลค่าโรงพยาบาล และค่าพาหนะไปพยาบาลบุตร เป็นเงิน 2,000 บาทนายหอมกลุ่นได้รับอันตรายทุพพลภาพ ไม่อาจศึกษาต่อ และไม่สามารถประกอบการเลี้ยงชีพโดยสมบูรณ์ ต้องสูญเสียความหวังชีวิตสมรสในอนาคต ต้องทนทุกข์เวทนาระทมใจตลอดชีวิต คิดค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 30,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัวมิได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของนายหอมกลุ่นบุตรผู้เยาว์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของนายหอมกลุ่นบุตรผู้เยาว์ โจทก์เสียค่าใช้จ่ายไปย่อมมีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวได้พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัว ทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าโจทก์ฟ้องแทนบุตรผู้เยาว์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัว ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องสองฐานะคือ ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้ง จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโดยข้อกฎหมาย มิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานโดยอาศัยข้อเท็จจริงในคดีเช่นนี้ ถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 (อ้างฎีกาที่ 1689/2497) เมื่อเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นดังกล่าว จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยไว้ โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวนั้นได้
พิพากษายืน