คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้นค่าเสียหายที่แท้จริงมีเท่าใด เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิศูจน์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำนวนค่าเสียหายจากเจ็ดร้อยบาทเศษเป็นเจ็ดร้อยบาท ถ้วนจึงเป็นการแก้ไข เล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลเหตุที่ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป และเอาโฉนดปลอมมาให้ยึดถือไว้เป็นประกัน ศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ให้จำคุกจำเลย ๕ ปี ๔ เดือนและให้จำเลยใช้เงิน ๑๑๔๐ บาทแก่โจทก์ด้วย จำเลยได้ชำระเงิน ๑๑๔๐ บาทให้แก่โจทก์ในการบังคับคดีอาญานั้นแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระดอกเบี้ยในต้นเงินนั้นคิดอัตราชั่งละ ๑๐ บาทต่อปี ๕ ปีเป็นเงิน ๗๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ กับค่าธรรมเนียมค่าทนายที่โจทก์ต้องเสียไปในคดีอาญาอีก ๒๒๙ บาท ๘๐ สตางค์ รวมเป็นเงิน ๙๘๒ บาท ๓๐ สตางค์
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๗๓๒ บาท ๓๐ สตางค์ แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มิได้นำสืบค่าเสียหาย มีถึงขนาดอัตราชั่งละ ๑ บาทต่อเดือนตามกำหนดอัตราดอกเบี้ยจึงคิดคำนวณเทียบตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๗ ให้ร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินโจทก์เพียง ๔๒๗ บาท ๕๐ สตางค์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีนี้ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการผิดนัดผิดสัญญา หากเป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด ค่าเสียหายที่แท้จริงมีเท่าใดจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิศูจน์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำนวนค่าเสียหายจากเจ็ดร้อยบาทเศษเป็นสี่ร้อยบาทเศษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาตามมาตรา ๒๔๘ จึงให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย

Share