แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานร่วมกันชักชวนให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 มาตรา 29 นั้น ต้องเป็นการชักชวน ชี้ช่อง หรือจัดการโดยวิธีใด ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังมิได้จดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ ก. ว่า เมื่อระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2541 ถึงวันที่ 22 กันยายน 2541 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ในนามชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือก และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมมิตร อำเภอนาเชือก โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามกฎหมาย และบรรยายฟ้องในข้อ ข. ว่า เมื่อระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2541 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2542 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองโดยทุจริตหลอกลวง บ. ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกรวม 59 คน และประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยทั้งสองได้จัดตั้งชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือก และสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมมิตร อำเภอนาเชือก ซึ่งได้จดทะเบียนให้ดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ได้ตามกฎหมาย หากผู้เสียหายทั้ง 59 คน และประชาชนโดยทั่วไปประสงค์จะสมัครเป็นสมาชิกสมาคมจะต้องเสียเงินเป็นค่าสมัครเริ่มต้น 100 บาท ค่าบำรุงสมาคม จำนวน 400 บาท และค่าสงเคราะห์ศพของสมาชิกล่วงหน้าศพละ 20 บาท เมื่อสมาชิกถึงแก่ความตายหลังเข้าเป็นสมาชิกแล้ว 180 วัน ผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินผลประโยชน์รายละ 100,000 บาท อันเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาที่จะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อสมาชิกถึงแก่ความตายแต่อย่างใด ข้อความในฟ้องข้อ ก. จึงเป็นการบรรยายตามองค์ประกอบความผิดฐานดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 เพราะการดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์อาจเป็นการดำเนินการอื่นที่มิใช่การชักชวน ชี้ช่อง หรือจัดการให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิก อันเป็นองค์ประกอบความผิดของความผิดฐานร่วมกันชักชวนให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียน ส่วนข้อความในฟ้องข้อ ข. โจทก์บรรยายฟ้องรวมการกระทำของจำเลยทั้งสองตั้งแต่ก่อนการจดทะเบียนสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมมิตร อำเภอนาเชือก และหลังจากจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์แล้วโดยมุ่งถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดว่าเป็นการหลอกลวงว่าจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์หากผู้เป็นสมาชิกถึงแก่ความตายอันเป็นความเท็จ จึงมิได้แบ่งแยกว่าเป็นการกระทำก่อนหรือหลังการจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือไม่ เห็นได้ว่าเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคแรก ประกอบมาตรา 341 เป็นข้อสำคัญ เพราะการกระทำความผิดฐานร่วมกันชักชวนให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนต้องเป็นการกระทำก่อนการจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เท่านั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยรวมการกระทำทั้งก่อนและหลังการจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ จึงมิได้แสดงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องความผิดตาม พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 มาตรา 29 มาด้วยดังที่โจทก์ฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 343 พระราชบัญญัติฌาปนกิจสงเคราะห์ (ที่ถูก พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์) พ.ศ.2517 มาตรา 29, 50 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินค่าเสียหายซึ่งผู้เสียหายทั้ง 59 คน เสียไปแก่ผู้เสียหายทั้ง 59 คนด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 มาตรา 29, 50 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานชักชวนให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังมิได้จดทะเบียน จำคุกคนละ 2 เดือน ฐานดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 1 ปี 2 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์เสียด้วย และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันชักชวนให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังมิได้จดทะเบียน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยมิได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์มีผู้เสียหาย มาเป็นพยานเบิกความถึงเรื่องที่มีผู้ชักชวนให้พยานแต่ละคนสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมมิตร อำเภอนาเชือก และชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนางเชือก ก็ตาม แต่ในบรรดาพยานโจทก์ดังกล่าวมีเพียงนางอรุณี นางบุญ นายขยาย นางนภาพร นางจันทร์ นายนาย นางทองใบ นางคูณ นางสมร และนางชลดาที่สมัครเป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุมวลชนอำเภอนาเชือก เพราะได้ความว่าสมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ก่อนการจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมมิตร อำเภอนาเชือก อย่างไรก็ตามเมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของพยานดังกล่าวที่เบิกความถึงความเกี่ยวข้องของจำเลยทั้งสอง คงมีแต่เฉพาะนายขยาย นางทองใบ นางคูณ นางอรุณี และนางสมร เท่านั้น โดยนายขยายอ้างว่า จำเลยที่ 2 ไปชักชวนและแจ้งว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ก่อตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งจดทะเบียนแล้ว นางทองใบ และนางคูณอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนไปชักชวนด้วยตนเอง ส่วนนางอรุณีกับนางสมรอ้างว่าพยานทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นรองประธานกรรมการแต่นายขยายซึ่งเคยไปติดต่อที่สำนักงานของชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือก กลับไม่เคยพบกับจำเลยทั้งสอง คงพบเห็นแต่พนักงานของชมรมเท่านั้น ส่วนนางทองใบและนางคูณนั้นมิได้ยืนยันข้อเท็จจริงใด ๆ นอกเหนือไปจากการชักชวนให้ไปสมัครสมาชิก แต่เรื่องดังกล่าวก็ปรากฏจากคำเบิกความของพยานโจทก์ปากอื่นว่ายังมีบุคคลอีกหลายคนไปชักชวนผู้เสียหายอื่นด้วย มิได้มีแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้น ลำพังพฤติการณ์ที่ว่าจำเลยทั้งสองเคยไปชักชวนผู้เสียหายบางคนให้สมัครเป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือก จึงไม่ใช่ข้อยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์แต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวอาจเป็นเพียงการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือก ก็เป็นได้ ทั้งหากจำเลยทั้งสองเป็นผู้ดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ของชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือกก็น่าจะปรากฏลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองในเอกสารที่เกี่ยวข้องบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการเบิกถอนเงินจากธนาคาร เพราะได้ความว่ามีการเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ของสมาชิกที่ถึงแก่ความตายจำนวนหลายราย แต่โจทก์คงมีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนของนายภานุซึ่งให้การไว้ว่า มีการเปิดบัญชีเงินฝากของชมรมผู้สูงอายุมวลชนอำเภอนาเชือก ไว้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาอำเภอนาเชือก โดยจำเลยทั้งสองมีอำนาจเบิกเงินจากบัญชีร่วมกับบุคคลอื่นได้ แต่โจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่นเอกสารในการเปิดบัญชีธนาคาร ตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยทั้งสอง หรือหลักฐานการเบิกจ่ายเงินจากธนาคาร ซึ่งหากมีอยู่จริงก็น่าจะตรวจสอบได้ไม่ยาก ลำพังคำให้การชั้นสอบสวนของนายภานุซึ่งเป็นเพียงพยานบอกเล่าย่อมมีน้ำหนักน้อยในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งสองส่วนเรื่องการรับโอนสมาชิกจากชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือก มาเป็นสมาชิกของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ร่วมมิตร อำเภอนาเชือก นั้น จำเลยทั้งสองนำสืบปฏิเสธอยู่ว่าจำเลยทั้งสองรับโอนสมาชิกเมื่อจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์แล้วเนื่องจากเคยเป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุมวลชน อำเภอนาเชือก และนายเบญจฤทธิ์ขอร้อง การกระทำเพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจสันนิษฐานว่าเป็นเพราะจำเลยทั้งสองเป็นผู้ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ต้นจึงได้รับโอนมาดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์โดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์หรือขึ้นทะเบียนฌาปนกิจสงเคราะห์ตามกฎหมายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันชักชวนให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนหรือไม่ เห็นได้ว่าเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก ประกอบมาตรา 341 เป็นข้อสำคัญ ส่วนความผิดฐานร่วมกันชักชวนผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 มาตรา 29 นั้น ต้องเป็นการชักชวน ชี้ช่อง หรือจัดการโดยวิธีใด ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ให้ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งยังมิได้จดทะเบียนโดยถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำความผิดในฐานนี้จะต้องเป็นการกระทำก่อนการจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เท่านั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยรวมการกระทำทั้งก่อนและหลังการจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ จึงมิได้แสดงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นการบรรยายฟ้องความผิดตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ.2517 มาตรา 29 มาด้วยดังที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นสำหรับข้อหาดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน