แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ประมาณ 29 ไร่เศษ จำเลยเข้าทำนาโดยการละเมิด ขอให้ขับไล่จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่แปลงนี้เป็นของจำเลยโดยจำเลยครอบครองมาครั้นเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปทำแผนที่พิพาทปรากฎว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องและจำเลยต่อสู้นี้เป็นแปลงเดียวกัน มีอาณาเขตตรงกัน แต่มีเนื้อที่ 17 ไร่เศษ ดังนี้ เมื่อแผนที่หลังโฉนดของโจทก์เป็นแผนที่อย่างเก่าไม่มีหลักเขตปัก เอาความแน่นอนอย่างสมัยปัจจุบันไม่ได้ตามฟ้อง โจทก์ก็กล่าวในเรื่องเนื้อที่โดยการประมาณเท่านั้น และเป็นการพิพาทกันทั้งแปลง เจ้าของที่ดินและเจ้าหน้าที่ดูแลเขตคลองที่ติดต่อกับที่พิพาทก็รับรองว่าที่พิพาทมิได้รุกล้ำที่ใคร ทั้งโจทก์ก็ได้เสียค่าขึ้นศาลเต็มตามเนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ไม่เป็นการเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๑๐ เนื้อที่ประมาณ ๒๙ ไร่ ๑ งาน ๔๐ วา จำเลยขอเช่าทำนาและเข้าทำนาตั้งแต่ยังไม่ทันทำสัญญาเช่าโจทก์ห้ามก็ไม่ฟัง ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ห้ามอย่าให้เข้าไปทำนาในที่ของโจกท์ กับให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยขอเช่าจากโจทก์ ที่ดินนี้เป็นของจำเลย จำเลยครอบครองมา
เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำแผนที่พิพาทปรากฎว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องและจำเลยต่อสู้ว่าครอบครองมานั้นเป็นที่ดินแปลเดียวกัน มีอาณาเขตตรงกันทุกด้าน แต่มีเนื้อที่ ๑๗ ไร่ ๒ งาน ๔๖ วา โจทก์จึงได้เสียค่าขึ้นศาลจนเต็มตามจำนวนเนื้อที่ที่เพิ่มขึ้น
ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินตามโฉนดของโจทก์ จำเลยเข้าทำนาโดยเช่าจากเจ้าของเดิมตลอดมา พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าไปทำนาในที่พิพาทของโจทก์ และให้ใช้ค่าเช่ากับค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาก็ฟังว่า ที่พิพาทมีโฉนดแล้ว ขณะนี้เป็นของโจทก์ จำเลยเข้าไปทำนาโดยพลการ เป็นการละเมิดโจทก์ ที่จำเลยอ้างว่าที่พิพาทมากกว่าจำนวนเนื้อที่ในโฉนดของโจทก์ศาลพิพากษาให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมดเป็นการเกินคำขอของโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปรากฎตามคำของช่างแผนที่ประจำสำนักงานที่ดินผู้ทำแผนที่พิพาทว่า แผนที่หลังโฉนดพิพาทเป็นแผนที่อย่างเก่า ไม่มีหลักเขตปัก จึงเอาความแน่นอนอย่างสมัยปัจจุบันไม่ได้ และตามฟ้องโจทก์กล่าวในเรื่องเนื้อที่ก็เพียงแต่ประมาณเท่านั้น ฉะนั้น แม้การคำนวณในปัจจุบันเนื้อที่จะมากขึ้นเป็น ๓๗ ไร่ เศษ จึงไม่ใช่ข้อสำคัญนัก และเป็นการพิพาทกันทั้งแปลง เขตที่พิพาทด้านตะวันตกติดคลองอีก ๓ ด้านติดที่มีโฉนด เจ้าของที่ดินติดต่อและกำนันผู้ดูแลเขตคลองต่างก็รับรองว่าที่พิพาทมิได้รุกล้ำที่ใคร ทั้งโจทก์ก็ได้เสียค่าขึ้นศาลจนเต็มตามเนื้อที่ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์จึงไม่เกินคำขอ
พิพากษายืน