คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งไม่เคยออกจากประเทศไทยเลยจะร้องขอพิสูจน์สัญชาติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493 มาตรา 43 ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ผู้ซึ่งเข้าในราชอาณาจักร
สิทธินำคดีมาฟ้อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
(คดีประชุมใหญ่ครั้งที่ 23/2509)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องความว่า ผู้ร้องมีสัญชาติไทย โดยเกิดในประเทศไทย และอยู่ในประเทศไทยตลอดมา ไม่เคยไปต่างประเทศเลย แต่ญาติได้ไปแจ้งขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้ผู้ร้องไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นทหาร ต่อมาปีพ.ศ.๒๕๐๕ ผู้ร้องถูกจับและกองตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ตอายัดตัวผู้ร้องไว้ และหาว่าผู้ร้องเป็นคนต่างด้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต และจะส่งตัวผู้ร้องออกนอกราชอาณาจักร ขอพิสูจน์สัญชาติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๔๓
พนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ตร้องคัดค้านว่า(ผู้ร้อง)เป็นคนต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเป็นของปลอม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่เชื่อว่าผู้ร้องเกิดในประเทศไทย จึงพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้ร้องไม่ใช่ผู้ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรจึงไม่มีสิทธิร้องขอพิสูจน์สัญชาติตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๔๓ และปัญหานี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาว่ามีสิทธิร้องขอพิสูจน์สัญชาติได้ และปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโดยมติที่ประชุมใหญ่ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.๒๔๙๓ มาตรา ๔๓ มีว่า “ผู้ใดซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรอ้างตนว่าเป็นคนไทย ผู้นั้นต้องเป็นผู้พิสูจน์ การพิสูจน์นั้นจะกระทำโดยร้องขอพิสูจน์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาลให้วินิจฉัยก็ได้…” แต่ผู้ร้องไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศไทยเลย จึงไม่ใช่ผู้ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่มีสิทธิร้องขอพิสูจน์สัญชาติตามกฎหมายนี้
สิทธินำคดีมาฟ้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
พิพากษายืน.

Share