คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กำแพงเมืองและคูเมืองซึ่งทางราชการทำขึ้น เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและแสดงการหวงห้ามเป็นที่หลวงตลอดมา มิได้ปล่อยให้กลายสภาพเป็นที่รกร้างว่างเปล่า แม้ต่อมาที่นั้นจะกลายสภาพไม่เป็นกำแพงเมือง หรือคูเมือง แต่เมื่อทางราชการยังคงถือว่าเป็นที่หลวงหวงห้ามตลอดมานั้น ที่นั้นก็ยังคงเป็นที่หลวงหวงห้ามอยู่ ที่นั้นจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจะโอนแก่กันไม่ได้ และจะยกอายุความขึ้นต่อสู้แผ่นดินไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305, 1306 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2505)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินเป็นของโจทก์ โดยซื้อและครอบครองมา จำเลยที่ ๒ นำรังวัดเพื่อออกโฉนดเป็นของจำเลยที่ ๑ จึงขอให้ศาลแสดงว่าเป็นที่ของโจทก์ ห้ามจำเลยที่เกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยเดิมเป็นคูเมืองสุรินทร์ ต่อมาตื้นเขินและขึ้นทะเบียนเป็นที่หลวงของกระทรวงการคลังตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ผู้ขายให้โจทก์และโจทก์จะครอบครองและโอนขายให้กันไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๕, ๑๓๐๖ และโจทก์ครอบครองไม่ถึง ๑๐ ปี
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัศดุ ซึ่งห้ามมิให้ยกอายุความชื้นต่อสู้แผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๖ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของคูเมืองซึ่งต่อมาตื้นเขินจนราษฎรเข้าทำการค้าขายปลูกบ้านเรือนอยู่กันมา ๖๐ ปีแล้ว กำแพงเมืองก็สูญสิ้นไปแล้ว จึงสิ้นสภาพเป็นทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินไปแล้วก่อนราษฎรเข้าครอบครอง ทางราชการเพิ่งจะมาหวงห้ามเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ และขึ้นทะเบียนราชพัสดุเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ในภายหลัง จึงไม่ทำให้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน คงเป็นได้แต่ทรัพย์สินของแผ่นดินตามธรรมดา ไม่ใช่ทรัพย์นอกพาณิชย์และไม่ใช่ทรัพย์ที่ถือเอาหรือโอนกันไม่ได้ เมื่อโจทก์และเจ้าของก่อนโจทก์ครอบครองมาหลายสิบปี โจทก์ก็มีสิทธิดีกว่าจำเลย พิพากษากลับ ว่าที่พิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตกำแพงเมืองและคูเมือง อันเป็นที่ซึ่งทำขึ้นเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง และทางราชการถือว่าเป็นที่หลวงหวงห้ามตลอดมา มิใช่ปล่อยให้กลายสภาพเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นมีการตัดถนนไปตามกำแพงเมืองหรือคูเมืองทำให้ที่บริเวณนั้นเป็นทำเลการค้าขาย มีราษฎรเข้าอยู่ทำการค้าขาย ก็เป็นเรื่องที่ราษฎรแย่งกันเข้ามาอยู่ในที่หลวง และการที่ราษฎรบางคนเข้าไปยึดถือที่บางส่วน ก็เป็นเรื่องเข้าอยู่ในที่หลวงโดยพลการ ศาลฎีกาได้ประชุมใหญ่พิจารณาเห็นว่า กำแพงเมืองและคูเมืองซึ่งทางราชการแสดงการหวงห้ามเป็นที่หลวงตลอดมานั้น แม้ที่นั้นจะกลายสภาพไม่เป็นกำแพงเมืองหรือคูเมือง แต่เมื่อทางราชการก็คงถือว่า เป็นที่หลวงหวงห้ามตลอดมานั้น ที่นั้นก็ยังคงเป็นที่หลวงหวงห้ามอยู่ที่กำแพงและคูเมืองจังหวัดสุรินทร์นี้ก็ยังเป็นที่หลวงหวงห้ามอยู่ เมื่อที่พิพาทเป็นที่หลวงหวงห้ามดังวินิจฉัยมา ก็เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจะโอนแก่กันมิได้ และจะยกอายุความขึ้นต่อสู้แผ่นดินมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๐๕, ๑๓๐๖ โจทก์ไม่มีสิทธิมาฟ้องจำเลยขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share