แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองและสำเนาคำร้องเรียนถึงบุคคลต่าง ๆ แนบท้ายฎีกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ระบุข้อความสำคัญอันมีลักษณะเป็นการก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลอย่างรุนแรง เมื่อโจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นทนายความได้ร่วมกันลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียง โดยให้ผู้ถูกกล่าวหานำมายื่นต่อศาลชั้นต้น การกระทำของโจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1),33 ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะผู้ถูกกล่าวหานำฎีกามายื่นต่อศาลชั้นต้น ประกอบกับฎีกามีลักษณะท้าทายอำนาจศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงและแจ้งชัด ไม่มีข้อที่น่าสงสัยว่าได้กระทำไปโดยเลินเล่อหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ศาลชั้นต้นลงโทษโดยไม่สั่งให้แก้ไขเสียก่อน จึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กระทำผิดฐานฟ้องเท็จ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 และพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของโจทก์ทั้งสองเนื้อหาและถ้อยคำเป็นการฟุ่มเฟือยและก้าวร้าวเสียดสีศาล เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล โจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายความได้ร่วมกันลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียง โดยให้ผู้ถูกกล่าวหานำมายื่นต่อศาลชั้นต้น จึงมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลให้ปรับโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 500 บาท และจำคุกโจทก์ที่ 2 กับผู้ถูกกล่าวหาคนละ 6 เดือน
โจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อความหรือถ้อยคำตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองโดยเฉพาะในข้อ 57 และสำเนาคำร้องเรียนเอกสารหมายเลข 3 ท้ายฎีกาที่ผู้ถูกกล่าวหานำมายื่นต่อศาลชั้นต้นนั้น ระบุข้อความสำคัญทำนองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดี จึงต้องร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้และผู้พิพากษาประพฤติมิชอบโดยรับสินบนจากอีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่า ข้อความดังกล่าวได้ระบุชื่อผู้พิพากษา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กับอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งด้วย ทั้งมีลักษณะเป็นการก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลซึ่งกระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์และโดยที่สำเนาคำร้องเรียนแนบท้ายฎีกาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา เมื่อโจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายความได้ร่วมกันลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียง โดยให้ผู้ถูกกล่าวหานำมายื่นต่อศาลชั้นต้น การกระทำของโจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีผลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลชอบที่ศาลชั้นต้นจะลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1), 33
ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าเป็นเพียงผู้ลงนามในฎีกามิใช่เป็นผู้นำฎีกามายื่นจะถือว่าโจทก์ทั้งสองประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลไม่ได้นั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสองมีเจตนาให้ข้อความที่ฎีกาปรากฏแก่ศาล การที่ผู้ถูกกล่าวหานำฎีกามายื่นต่อศาลชั้นต้นจึงสมเจตนาโจทก์ทั้งสอง จะแก้ตัวว่าการกระทำของตนไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลหาได้ไม่ และที่โจทก์ทั้งสองกับผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลโดยไม่ส่งให้แก้ไขก่อนนั้น เมื่อความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้เกิดขึ้นตั้งแต่ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นแล้วประกอบกับฎีกามีลักษณะเป็นการท้าทายอำนาจศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงและแจ้งชัด ไม่มีข้อที่น่าสงสัยว่าได้กระทำไปโดยเลินเล่อหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การที่ศาลชั้นต้นสั่งลงโทษโดยไม่สั่งให้แก้ไขเสียก่อน จึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่าสำเนาคำร้องเรียนถึงบุคคลต่าง ๆแนบท้ายฎีกาที่โจทก์ที่ 2 ทำขึ้นไม่เกี่ยวกับผู้ถูกกล่าวหานั้นเห็นว่า เรื่องราวกล่าวโทษดังกล่าว โจทก์ที่ 2 จะทำขึ้นโดยชอบและผู้ถูกกล่าวหาจะเกี่ยวข้องหรือไม่ มิใช่ข้อสำคัญผู้ถูกกล่าวหาได้ร่วมกับโจทก์ทั้งสองนำเรื่องราวกล่าวโทษดังกล่าวมารวมเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ว่ามีเจตนาร่วมกระทำผิดด้วยและที่ฎีกาต่อมาว่าได้กล่าวไว้แล้วในฎีกาว่าพร้อมจะแก้ไขถ้อยคำตามคำสั่งศาลชั้นต้นทุกประการนั้น เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ร่วมกับโจทก์ทั้งสองจัดทำฎีกาให้มีข้อความดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นเครื่องชี้เจตนาของผู้ถูกกล่าวหาชัดเจนอยู่แล้ว ข้อที่ฎีกามานี้จึงถูกลบล้างไปโดยการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเองโดยสิ้นเชิง ถือว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
พิพากษายืน