แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อความในฎีกาของโจทก์ทั้งสองและสำเนาคำร้องเรียนเอกสารท้ายฎีกาซึ่งแนบมากับฎีกาอันเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ได้ระบุชื่อผู้พิพากษาอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งด้วย มีลักษณะเป็นการก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาล เมื่อโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียงและผู้ถูกกล่าวหาได้นำมายื่นต่อศาลชั้นต้น การกระทำของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาย่อมเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ทั้งสองฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานฟ้องเท็จ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาและพิพากษา ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองได้ยื่นฎีกาลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2533 คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาในฐานะทนายโจทก์ทั้งสองได้ลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียง ซึ่งตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อ 5.7 ระบุว่าโจทก์ทั้งสองกับพวกไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาบางท่าน จึงจำเป็นต้องร้องขอความเป็นธรรมต่อท่านที่มีอำนาจหน้าที่ โดยยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมปลัดกระทรวงยุติธรรม ประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือร้องเรียนและใบรับเอกสารท้ายฎีกาหมายเลข 3 ซึ่งมีข้อความสรุปได้ว่า ศาลพิจารณาคดีนี้และคดีอื่นที่โจทก์ทั้งสองฟ้องและถูกฟ้องโดยที่โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาที่พิจารณาคดี เนื่องจากผู้พิพากษารับประโยชน์จากคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อช่วยเหลือคู่ความฝ่ายนั้นทำให้โจทก์เสียเปรียบในคดี ศาลชั้นต้นสอบผู้ถูกกล่าวหาและโจทก์ทั้งสองแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาและโจทก์ทั้งสองยอมรับว่าได้ร่วมกันลงลายมือชื่อในฎีกาจริง และผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้นำมายื่นต่อศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหามีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)จึงให้ปรับโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 500 บาท และจำคุกโจทก์ที่ 2 กับผู้ถูกกล่าวหาคนละ 6 เดือน หากโจทก์ที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์สินชดใช้ค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำการอันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลหรือไม่ เห็นว่าข้อความหรือถ้อยคำตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองโดยเฉพาะในข้อ 5.7 และสำเนาคำร้องเรียนเอกสารหมายเลข 3 ท้ายฎีกาที่ผู้ถูกกล่าวหานำมายื่นต่อศาลชั้นต้นนั้นระบุข้อความสำคัญว่า จากพฤติการณ์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล โจทก์ทั้งสองเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าโจทก์ทั้งสองกับพวกไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาบางท่านและโจทก์ที่ 2 ไม่มีหนทางใดที่จะป้องกันรักษาสิทธิเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมในทางคดีโดยแท้จริงได้ จึงจำเป็นต้องร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้โดยได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลยุติธรรมต่อนายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภาประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานองคมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรรมการตุลาการ ผู้บัญชาการทหารบกประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ และหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรค ตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือร้องเรียนเอกสารหมายเลข 3 ท้ายฎีกา ซึ่งมีข้อความสำคัญเป็นตอน ๆ ว่า ผู้พิพากษานัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาล่าช้า ก็เพื่อให้มีการวิ่งเต้นซึ่งเป็นการแน่นอนว่าจะต้องมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ผู้พิพากษาจนเป็นที่พอใจเสียก่อนจึงจะตัดสินหรือมีคำสั่งสำหรับโจทก์ที่ 2 นั้นไม่มีความสามารถที่จะมีเงินเป็นแสนเป็นล้านบาท ที่จะนำไปให้ผู้พิพากษาได้ และคำสั่งของผู้พิพากษาที่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จะเห็นได้ว่าเป็นคำสั่งที่วิปริตต่อกฎเกณฑ์หลักการของกฎหมายโดยสิ้นเชิง เพราะแม้แต่ผู้ที่รู้กฎหมายขั้นพื้นฐานก็ยังสามารถเข้าใจได้ โดยเฉพาะผู้พิพากษาดังกล่าวมีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาศาลอาญา ซึ่งจะต้องมีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ในงานเกี่ยวกับคดีความมามากพอสมควรเพราะผ่านการเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมาแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะน่าเชื่อหรือน่าสงสัยว่าได้สั่งไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เว้นเสียแต่ว่าได้มีคำสั่งโดยมีเจตนาเช่นนั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนสนองความต้องการของบุคคลที่ให้สินจ้างรางวัลแก่ผู้พิพากษาอย่างจุใจโดยอาศัยกฎหมายที่ให้อำนาจผู้พิพากษามีอำนาจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดีมาเป็นเกราะกำบังแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจึงแอบอ้างอำนาจอิสระมาใช้เป็นเครื่องมือจะมีคำสั่งอย่างไรก็ได้ไม่มีใครสามารถเอาผิดได้ และผู้ที่ต้องได้รับความเสียหายจากการอ้างอำนาจอิสระบังหน้าแสวงหาผลประโยชน์ก็ไม่สามารถเรียกร้องให้ผู้ใดรับผิดชอบได้นอกจากจะต้องอุทธรณ์ฎีกาไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนผู้ที่อาศัยอำนาจอิสระของผู้พิพากษาบังหน้าหากินแสวงหาผลประโยชน์มิชอบก็ยังคงนั่งบัลลังก์คอยจ้องแสวงหาเหยื่อ รายต่อไป โจทก์ที่ 2 เชื่อมั่นว่าผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยรับสินบนจากอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน และการที่ผู้พิพากษาประพฤติมิชอบดังกล่าวนั้นเป็นเพราะการกระทำโดยเจตนาหรืออย่างน้อยก็รู้เห็นเป็นใจด้วยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา นอกจากนี้ในคดีแพ่งที่ผู้พิพากษามีคำสั่งให้ยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ที่ 2 ก็ไม่มีความไว้วางใจในความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริงของคำสั่ง เพราะผู้พิพากษาได้พิจารณาพิพากษาคดีโดยจงใจให้เป็นประโยชน์แก่อีกฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียวตลอดมาในทุกกรณี ทั้งนี้จะต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทนโดยมิชอบอย่างคุ้มค่าต่อการเสี่ยงในการประพฤติมิชอบโดยการสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งในขณะนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งข้อความดังกล่าวได้ระบุชื่อผู้พิพากษาอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งด้วยและมีลักษณะเป็นการก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาล ซึ่งกระทำการในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์และโดยที่เป็นข้อความซึ่งแนบมากับฎีกาจึงเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา เมื่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และผู้ถูกกล่าวหาได้ร่วมกันลงนามเป็นผู้ฎีกา และผู้เรียง และผู้ถูกกล่าวหาได้นำมายื่นต่อศาลชั้นต้นเช่นนั้น การกระทำของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีผลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นการละเมิดอำนาจศาล ชอบที่ศาลนั้นจะลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1), 33 ที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเพียงผู้ลงนามในฎีกามิใช่ผู้นำฎีกามายื่น จะถือว่าโจทก์ทั้งสองประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลไม่ได้นั้น เห็นว่าการที่โจทก์ทั้งสองนำเรื่องราวกล่าวโทษผู้พิพากษาซึ่งมีข้อความก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลมารวมเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาและลงนามเป็นผู้ฎีกาและผู้เรียงร่วมกับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ทั้งสองนั้นแสดงชัดอยู่แล้วว่าโจทก์ทั้งสองมีเจตนาให้ข้อความที่ฎีกานั้นปรากฏแก่ศาล การที่ผู้ถูกกล่าวหานำฎีกามายื่นต่อศาลชั้นต้น จึงสมเจตนาของโจทก์ทั้งสอง จะแก้ตัวว่าการกระทำของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลหาได้ไม่ ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ก่อนมีคำพิพากษาในกรณีละเมิดอำนาจศาลนั้น ศาลชั้นต้นเพียงแต่สอบถามผู้ถูกกล่าวหา มิได้สอบถามโจทก์ทั้งสองทำให้โจทก์ทั้งสองไม่มีโอกาสแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงต่าง ๆ หรือลุแก่โทษด้วยการขอขมา หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยคำได้ กระบวนพิจารณาก่อนพิพากษาลงโทษจึงไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น เห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2533 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษเฉพาะผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ทั้งสอง ส่วนโจทก์ทั้งสองนั้น ศาลชั้นต้นเพิ่งอ่านคำพิพากษาให้ฟังเมื่อวันที่ 21พฤศจิกายน 2533 และก่อนอ่านคำพิพากษาก็ได้ให้โอกาสโจทก์ทั้งสองแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของโจทก์ทั้งสองแล้ว แต่โจทก์ทั้งสองแถลงเพียงว่า ได้ร่วมลงลายมือชื่อไว้ในฎีกาจริงเท่านั้นหาได้ถือโอกาสนั้นชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุที่จัดทำฎีกาให้มีข้อความดังกล่าวข้างต้นหรือขอขมาต่อศาลหรือขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยคำไม่ ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2533 ฉะนั้น จะอ้างว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นไปโดยมิชอบหาได้ไม่ ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่า ข้อความในฎีการะบุชัดแล้วว่าหากมีถ้อยคำใด ๆไม่เหมาะสม ก็เป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โจทก์ทั้งสองตลอดจนทนายโจทก์พร้อมที่จะแก้ไขตามคำสั่งศาลทุกประการ และศาลชั้นต้นก็มีอำนาจโดยชอบที่จะสั่งให้แก้ไขให้เหมาะสมได้ แต่ไม่สั่งให้แก้ไขกลับพิพากษาลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลไปเลย จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า เรื่องราวกล่าวโทษผู้พิพากษาที่โจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหานำมารวมเป็นฎีกาของโจทก์นั้น เป็นหนังสือร้องเรียนที่โจทก์ที่ 2 จัดทำขึ้นขอความเป็นธรรมจากผู้มีอำนาจหน้าที่แต่มีข้อความที่ก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงและแจ้งชัด เมื่อโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหานำมารวมเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา จึงทำให้ฎีกาของโจทก์มีข้อความก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงและแจ้งชัด พฤติการณ์บ่งว่าโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาจะแสดงความก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาล การยื่นฎีกาดังกล่าวต่อศาลจึงมีผลเป็นการท้าทายอำนาจศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงแจ้งชัดปราศจากความเคารพยำเกรงและมิใช่เป็นการกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังที่อ้าง เมื่อความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในกรณีนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นฎีกาดังกล่าวนั้นต่อศาลชั้นต้น ประกอบกับฎีกาของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหามีลักษณะเป็นการท้าทายอำนาจศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงและแจ้งชัดไม่มีข้อที่น่าสงสัยว่าได้กระทำไปโดยเลินเล่อ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปโดยไม่สั่งให้โจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาแก้ไขถ้อยคำเสียก่อน จึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้วที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจลงโทษโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาได้ทันทีโดยไม่ต้องสั่งให้แก้ไขถ้อยคำในฎีกาเสียก่อนนั้นชอบแล้ว ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่า ไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลโดยอ้างเหตุผลว่า หากได้ทราบว่าฎีกาและเอกสารที่แนบมีข้อความเป็นการดูหมิ่นหรือเสียดสีศาลผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทนายความย่อมจะไม่ร่วมลงลายมือชื่อในฎีกาแล้วนำมายื่นต่อศาลนั้น เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นทนายความและได้ร่วมกับโจทก์ทั้งสองในการเรียงฎีกาย่อมรู้อยู่แล้วว่าฎีกาและเอกสารแนบท้ายมีข้อความอย่างไร จะอ้างว่าได้ลงลายมือชื่อในฎีกาและนำมายื่นต่อศาลชั้นต้นโดยไม่ทราบข้อความหาสมเหตุผลไม่ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่า เรื่องราวกล่าวโทษผู้พิพากษาที่แนบท้ายฎีกาเป็นสำเนาภาพถ่ายหนังสือร้องเรียนที่โจทก์ที่ 2ทำขึ้นโดยชอบ ผู้ถูกกล่าวหามิได้เกี่ยวข้องด้วยนั้นเห็นว่าเรื่องราวกล่าวโทษผู้พิพากษาดังกล่าวนั้น โจทก์ที่ 2 จะได้ทำขึ้นโดยชอบหรือไม่และผู้ถูกกล่าวหาจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ มิใช่ข้อสำคัญแต่ในเมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้ร่วมกับโจทก์ทั้งสองนำเรื่องราวกล่าวโทษดังกล่าวซึ่งมีข้อความก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลมารวมเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาเช่นนี้ ข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วย ส่วนฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาที่อ้างว่า ได้กล่าวไว้ในฎีกาแล้วว่า พร้อมที่จะแก้ไขถ้อยคำใด ๆ ตามคำสั่งศาลทุกประการ แสดงว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิดนั้น เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ร่วมกับโจทก์ทั้งสองในการจัดทำให้ฎีกาที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นมีข้อความก้าวร้าวและดูหมิ่นเสียดสีศาลดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นเครื่องชี้เจตนาของผู้ถูกกล่าวหาชัดเจนอยู่แล้ว ข้อความที่กล่าวไว้ในฎีกาว่าพร้อมที่จะแก้ไขถ้อยคำใด ๆ ตามคำสั่งศาลทุกประการนั้น ถูกลบล้างโดยการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเองโดยสิ้นเชิงแล้ว ฉะนั้นจะฟังว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหาได้ไม่ ฎีกาของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะวินิจฉัยต่อไปคือ ข้อที่โจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่าหากศาลฎีกาฟังว่าการกระทำของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ก็ควรลงโทษเพียงสถานเบา ถ้ามีโทษจำคุกก็ขอให้รอการลงโทษไว้ ข้อนี้เห็นว่าในเมื่อการกระทำของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาเป็นการท้าทายอำนาจศาลยุติธรรมอย่างรุนแรงแจ้งชัดปราศจากความเคารพยำเกรงดังวินิจฉัยมาแล้ว การที่จะลงโทษเพียงสถานเบาย่อมไม่เป็นการสมควร ฎีกาของโจทก์ทั้งสองและผู้ถูกกล่าวหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน