คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11148/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากที่มีการยึดทรัพย์ที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 2553 โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอถอนการยึดทรัพย์และสละสิทธิในการบังคับคดีเนื่องจากได้รับชำระหนี้จากฝ่ายจำเลยทั้งสามแล้ว ถือได้ว่ามีการบังคับคดีเสร็จสิ้นแล้ว เพราะการบังคับคดีเพื่อให้มีการชำระหนี้ตามคำพิพากษาสามารถดำเนินการได้หลายวิธี ไม่ใช่มีเพียงการนำทรัพย์ที่ยึดมาขายทอดตลาดแต่อย่างเดียว ส่วนการโอนสำนวนการบังคับคดีไปไว้ในคดีล้มละลายก็เนื่องจากเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่จะสามารถจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายได้ ไม่ใช่ว่าเป็นกรณีการบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ทั้งสามในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้นำยึด ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 169/2 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 295 (2) โจทก์ทั้งสามจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 6,686,760 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องวันที่ 6 กันยายน 2537 ต้องไม่เกิน 1,461,556 บาท แก่โจทก์ทั้งสามและให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามโดยกำหนดค่าขึ้นศาลให้ 175,000 บาท และค่าทนายความ 50,000 บาท ให้โจทก์ทั้งสามชำระเงิน 10,000 บาท ตามฟ้องแย้งแก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และฎีการวม 80,000 บาท จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ทั้งสามขอหมายบังคับคดีแล้วต่อมาผู้แทนโจทก์ทั้งสามนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่จังหวัดกาญจนบุรี ของจำเลยที่ 1 เพื่อบังคับชำระหนี้แล้ว วันที่ 4 และ 11 พฤษภาคม 2553 ผู้แทนโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนการยึดทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากบุคคลภายนอกเป็นที่พอใจแล้วขอถอนการบังคับคดีและสละการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามทั้งสิ้น ส่วนจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ล.8590/2552 ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2552 ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทั้งสามชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีเป็นเงิน 365,201.46 บาท
โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องลงวันที่ 8 มิถุนายน 2554 ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้โจทก์ทั้งสามเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือไม่ เห็นว่า หลังจากมีการยึดทรัพย์ที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 2553 โจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องขอถอนการยึดทรัพย์และสละสิทธิในการบังคับคดี เนื่องจากได้รับชำระหนี้จากฝ่ายจำเลยทั้งสามแล้ว ถือได้ว่ามีการบังคับคดีเสร็จสิ้นแล้ว เพราะการบังคับคดีเพื่อให้มีการชำระหนี้ตามคำพิพากษาสามารถดำเนินการได้หลายวิธี ไม่ใช่มีเพียงการนำทรัพย์ที่ยึดมาขายทอดตลาดแต่อย่างเดียว ส่วนการโอนสำนวนการบังคับคดีไปไว้ในคดีล้มละลายก็เนื่องจากเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่จะสามารถจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายได้ ไม่ใช่ว่าเป็นกรณีการบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ทั้งสามในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้นำยึด ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 169 / 2 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 295 (2) โจทก์ทั้งสามจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
อนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยไม่ได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share