แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยหักเงินจำนวนหนึ่งออกจากเงินผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจากการเป็นตัวแทนประกันวินาศภัย แต่จำเลยนำส่งเงินจำนวนดังกล่าวแก่กรมสรรพากรโดยแจ้งว่าเป็นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของบริษัท บ. ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีอัตราภาษีต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำให้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อยกว่าความเป็นจริง เมื่อจำเลยได้หักเงินออกจากเงินค่านายหน้าเพื่อเป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้ของโจทก์แล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกหนังสือรับรองรายได้ที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 พร้อมทั้งหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายประจำปีภาษี2552 ที่ถูกต้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาจำนวนเงินที่กรมสรรพากรได้ประเมินไว้ 2,893,826.61 บาท เป็นรายได้พึงประเมินประจำปีภาษี 2552 ของโจทก์ และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า จำเลยต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายในส่วนเงินค่านายหน้าจำนวน 2,697,372.42 บาท แก่โจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่รับฟังเป็นยุติและจำเลยไม่อุทธรณ์โต้แย้งฟังได้ว่า ปีภาษี 2552 จำเลยคำนวณเงินค่านายหน้าซึ่งเกิดจากการส่งงานประกันภัยของโจทก์ให้จำเลยและโจทก์หักไว้ก่อนส่งเป็นจำนวน 2,697,372.42 บาท ค่าจัดเก็บเบี้ยประกันภัย 126,980.51 บาท เงินจากการส่งเสริมการขาย 69,473.68 บาท รวมเงินที่โจทก์ได้รับจากการส่งเงินประกันภัยให้จำเลยจำนวน 2,893,826.61 บาท ในเงินจำนวนนี้จำเลยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้โจทก์เฉพาะในส่วนเงินค่าจัดเก็บเบี้ยประกันภัย 126,980.51 บาท และเงินส่งเสริมการขายจำนวน 69,473.68 บาท ส่วนเงินค่านายหน้าจำนวน 2,697,372.42 บาท จำเลยมิได้ออกให้โจทก์แต่ออกหนังสือรับรอง การหักภาษี ณ ที่จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้อง คำให้การว่า จำเลยต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายปีภาษี 2552 ที่ถูกต้องแก่โจทก์หรือไม่ การจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าเงินจำนวน 2,697,372.42 บาท ที่โจทก์หักไว้เป็นรายได้ของโจทก์ในการส่งเบี้ยประกันภัยของลูกค้าให้จำเลยนั้น จำเลยได้คิดหักไว้ ณ ที่จ่ายเป็นภาษีเงินได้ของโจทก์หรือไม่ ซึ่งตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยมิได้หักไว้ ณ ที่จ่ายแก่โจทก์ในเงินจำนวนดังกล่าว เพียงแต่ให้การปฏิเสธว่าเงินจำนวนดังกล่าวจำเลยได้ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่บริษัทโบรคเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ไปแล้ว ไม่มีหน้าที่ต้องออกให้โจทก์อีก การที่ศาลอุทธรณ์ตั้งประเด็นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินจำนวน 2,697,372.42 บาท จากจำเลยหรือไม่ เพียงใด แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยยังโต้เถียงกันว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจำนวนดังกล่าวหรือไม่ ข้อเท็จจริงยังไม่ยุตินั้น นอกจากจะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท ขัดกับข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติว่าโจทก์ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากจำเลยแล้วโดยการหักไว้ก่อนส่งเบี้ยประกันภัยของลูกค้าให้แก่จำเลยแล้ว ยังเป็นการปฏิเสธการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทในคดี โดยข้อเท็จจริงที่ขัดกับข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้อง คำให้การและทางพิจารณาที่โจทก์จำเลยรับกันเพียงพอวินิจฉัยประเด็นว่าจำเลยต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินค่านายหน้า จำนวน 2,697,372.42 บาท แก่โจทก์หรือไม่แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคดีให้เสร็จสิ้นไปเสียในคราวเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ สำหรับประเด็นว่าจำเลยต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินค่านายหน้า จำนวน 2,697,372.42 บาท แก่โจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาประกันให้แก่จำเลยนั้นเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยได้หักเงินรายได้ของโจทก์จากเงินผลประโยชน์ตอบแทนในการหาประกันให้กับจำเลยเพื่อส่งกรมสรรพากรเป็นภาษีเงินได้ของโจทก์หัก ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร ซึ่งจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้มีการหักเงินดังกล่าวไว้เป็นภาษีตามประมวลรัษฎากร ตามทางนำสืบของจำเลยก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีการหักเงินผลประโยชน์ ที่โจทก์ได้รับจากการหาประกันภัยให้จำเลยเพื่อส่งกรมสรรพากร ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยได้หักเงินจำนวนหนึ่งออกจากเงินรายได้ที่โจทก์ได้รับจำนวน 2,697,372.42 บาท เพื่อส่งกรมสรรพากรแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบโจทก์และจำเลยว่าเงินผลประโยชน์ที่โจทก์ได้จากการหาประกันให้จำเลยหรือที่จำเลยจ่ายให้โจทก์นั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เงินค่านายหน้าและค่าสำรวจภัยส่วนหนึ่ง กับเงินค่าจัดเก็บเบี้ยประกันภัยอีกส่วนหนึ่ง ในการจัดเก็บเงินดังกล่าวจากลูกค้าของโจทก์ โจทก์จะหักส่วนที่เป็นผลประโยชน์ของโจทก์ออกก่อน แล้วจึงนำส่งส่วนที่เหลือให้จำเลย จำเลยมิได้ให้การและนำสืบว่าในปีภาษี 2552 จำเลยหักเงินโจทก์ไว้ ณ ที่จ่ายเป็นจำนวนเท่าใด การที่จำเลยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัทโบรคเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคล อีกบุคคลหนึ่งนั้น แสดงว่าจำเลยนำส่งเงินที่หักไว้เป็นภาษีเงินได้ของโจทก์หัก ณ ที่จ่าย แก่กรมสรรพากรโดยแจ้งว่าเป็นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลมีอัตราภาษีต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่จำเลยก็มิได้ให้การหรือนำสืบให้เห็นว่าจำเลยส่งเงินภาษีของโจทก์หัก ณ ที่จ่ายในนามบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นจำนวนเท่าใด เมื่อพิจารณาเหตุผลแห่งการกระทำตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยที่อ้างว่าเป็นเรื่องการวางแผนภาษีแล้วเห็นว่า การไม่ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแก่ตัวแทนผู้หาประกันให้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา โดยออกให้กับนิติบุคคลที่จำเลยจัดตั้งขึ้นเป็นนายหน้า นั้น เป็นการสมประโยชน์ทั้งตัวแทนผู้หาประกันของจำเลยที่มีหลักฐานแจ้งรายได้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่แท้จริง ทำให้สามารถเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อยกว่าความเป็นจริง ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้มีการตกลง 3 ฝ่าย ระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนผู้หาประกัน จำเลยและบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ที่จำเลยตั้งเป็นนายหน้า โดยให้โจทก์หาลูกค้าประกันภัยส่งให้จำเลยในนามบริษัทโบรคเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด นั้น จำเลยให้การลอย ๆ ไม่มีบันทึกหลักฐานเป็นหนังสือลงชื่อ 3 ฝ่ายมาแสดง สัญญาแต่งตั้งนายหน้าเป็นเรื่องระหว่างจำเลยและบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ไม่มีโจทก์ร่วมตกลงอยู่ด้วย และเป็นการแต่งตั้งบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ให้เป็นนายหน้าตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 ในขณะที่สัญญาที่จำเลยแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทนประกันภัยตั้งแต่ปี 2545 ยังมีผลใช้บังคับอยู่ จำเลยเพิ่งแจ้งยกเลิกการให้โจทก์เป็นตัวแทนประกันภัยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2553 ซึ่งแสดงว่าปีภาษี 2552 โจทก์ยังคงเป็นตัวแทนหาประกันภัยให้จำเลยอยู่ การที่จำเลยออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ลูกค้าที่โจทก์เป็นตัวแทนจัดหามาในปี 2552 ระบุว่าบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นนายหน้า โจทก์เป็นตัวแทนขายประกันก็ดี บริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ออกใบรับเงินค่านายหน้าที่โจทก์จัดเก็บส่งให้จำเลยก็ดี การที่จำเลยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้บริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ก็ดี เป็นเรื่องการบริหารจัดการภายในของจำเลยและบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด โดยโจทก์หรือตัวแทนประกันภัยไม่มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องรู้เห็นหรือให้ความยินยอม พฤติการณ์ที่จำเลยไม่ยอมออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายแก่โจทก์ ทั้งที่จำเลยได้หักออกจากเงินผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจากการหาประกันให้จำเลยและหักไว้ก่อนจะส่งให้จำเลย โดยบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์หรือเงินจำนวนดังกล่าว แต่กลับออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้บริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด นั้น แม้มีการทำเอกสารระหว่างจำเลยและบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ว่าบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ได้รับผลประโยชน์จากเบี้ยประกันภัยที่เก็บจากลูกค้าของจำเลยแทนโจทก์ และจำเลยหักภาษี ณ ที่จ่ายแก่บริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ไว้ก็ตาม แต่บริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ไม่ใช่ผู้จ่ายเงินให้โจทก์ ไม่มีหน้าที่หักเงินภาษี ณ ที่จ่ายแก่โจทก์และบริษัทดังกล่าวก็ไม่ได้ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ ทั้งที่โจทก์เป็นผู้ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวเป็นรายได้ตามความเป็นจริง ทำให้จำนวนเงินที่หักไว้สำหรับภาษีเงินได้ที่จ่ายโจทก์และหลักฐานแสดงยอดจำนวนเงินได้ที่โจทก์ได้รับจริงก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย หายไปจากระบบภาษีเช่นนี้ ไม่ใช่วิธีการวางแผนบริหารภาษีที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าเงินจำนวนที่โจทก์ฟ้องจำเลยจ่ายให้บริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด แต่ก็ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องฟ้องร้องบังคับบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ให้ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย มิได้มีการขอให้เรียกบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม หรือนำสืบแสดงการประกอบการของบริษัทโบรกเกอร์เซ็นเตอร์ จำกัด ว่ามีการทำธุรกิจหลักอย่างใด มีรายได้จากการประกอบการอย่างไร มีข้อตกลงกับโจทก์หรือไม่อย่างไร แต่จำเลยกลับให้การเป็นทำนองว่าโจทก์สามารถนำยอดเงินตามคำฟ้องดังกล่าวไปแจ้งกรมสรรพากรเพื่อเสียภาษีได้เอง ทั้งที่โจทก์ต้องการหลักฐานที่โจทก์ถูกจำเลยหักเงินรายได้ไว้เป็นภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อแสดงต่อกรมสรรพากรในการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้หักเงินออกจากเงินค่านายหน้าจำนวน 2,697,372.42 บาท เพื่อเป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินได้ของโจทก์แล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากยอดเงินจำนวนดังกล่าว แต่ที่โจทก์มีคำขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เห็นว่า การออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายไม่ใช่การทำนิติกรรม แต่เป็นหนี้กระทำการอย่างหนึ่ง จึงไม่อาจถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร จากยอดเงินรายได้จำนวน 2,697,372.42 บาท ให้แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดเป็นค่าทนายความรวม 10,000 บาท