คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1113/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สินค้าที่จัดอยู่ในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่35.06นั้นจะต้องเป็นการที่ปรุงแต่งแล้วซึ่งมิได้ระบุหรือรวมไว้ในที่อื่นรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับใช้อย่างกาวแต่สินค้าที่จำเลยนำเข้ายังไม่เป็นกาวและจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่ากรมศุลกากรเคยเรียกเก็บอากรขาเข้าในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่39.01ก.มาแล้วจำเลยทั้งสามยังสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าว่าเป็นสินค้าในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่35.06อีกทั้งๆที่กรณีมิได้เข้าข้อยกเว้นตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้อันเป็นการกระทำเพื่อชักพาให้พนักงานเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรผิดหลงในรายการสินค้าและพิกัดอัตราอากรขาเข้าตามที่จำเลยสำแดงไว้เพื่อจะได้ชำระอากรขาเข้าเป็นจำนวนน้อยกว่าพิกัดอัตราอากรขาเข้าที่ถูกต้องถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาล.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 27, 99 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9)พุทธศักราช 2482 มาตรา 16 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11)พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497มาตรา 4
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 27, 99 ให้ลงโทษตามมาตรา 27 ซึ่งเป็นบทหนักปรับ 174,244.24 บาท คดีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ116,162.83 บาท ไม่ชำระค่าปรับ ให้ยึดทรัพย์จำเลยทั้งสามหรือกักขังจำเลยที่ 1 และที่ 3 แทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา29, 30
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ผู้รับมอบอำนาจได้เคยยื่นใบขนสินค้าขาเข้า และแบบแสดงรายการการค้าเพื่อขอรับสินค้าซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า เอเวอร์ฟิกซ์ เคลียร์ เอ็กพ็อกซีเรซีน โดยสำแดงว่าเป็นกาวเคมี บรรจุไม่เกิน 1 กิโลกรัม ขายปลีกพิกัดอัตราอากรขาเข้าโดยประเภทที่ 35.06 ตามเอกสารหมาย จ.2ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรได้วินิจฉัยและทักท้วงให้จำเลยชำระอากรในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 39.01 ก. มาแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ได้มายื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เอกสารหมาย จ.1 เฉพาะสินค้าลำดับ 1 ซึ่งเป็นสินค้ารายพิพาท มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า เอเวอร์ฟิกซ์เคลียร์ เอ็กพ็อกซีเรซีน จำเลยได้สำแดงว่าเป็นกาวเคมี บรรจุไม่เกิน 1 กิโลกรัมขายปลีก พิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 35.06 เช่นเดียวกันอีกทั้งที่จำเลยได้ทราบอยู่แล้วว่ากรมศุลกากรได้วินิจฉัยว่าสินค้าชนิดเดียวกันนี้จัดเข้าพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 39.01 ก.และสินค้ารายพิพาทนี้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรก็ได้ทำการวิเคราะห์แล้วว่าเป็นสินค้าที่เข้าพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 39.01 ก.เช่นกัน จำเลยนำสืบว่าสินค้ารายพิพาทเป็นกาวเคมี บรรจุไม่เกิน1 กิโลกรัม ขายปลีก ต้องจัดเข้าพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่35.06 เพราะตามหนังสือคำอธิบายพิกัดอัตราภาษีอากรศุลกากรเอกสารหมาย ล.1 หน้า 373 ข้อ ดีและคำแปลเอกสารหมาย ล.2 มีข้อความว่าผลิตภัณฑ์ประเภท 39.01 ถึง 39.06 เหมาะสำหรับใช้อย่างกาวทำขึ้นเพื่อขายปลีก บรรจุภาชนะมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 1 กิโลกรัม(ประเภท 35.06) และคำวินิจฉัยพิกัดอัตราที่ 143/2507 ของกรมศุลกากรเอกสารหมาย ล.3 มีข้อความว่า น้ำกาวสำหรับใช้ทาหมุด เป็นชุดประกอบด้วย แอดฮีชีพ และ ฮาร์เดนเนอร์ จัดเข้าดังนี้ 1. แอดฮีซีฟ ข.ถ้าบรรจุภาชนะน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 1 กิโถ้าบรรจุภาชนะน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 1 กิโลกรัม ประเภทในพิกัดอัตรา 35.06 ศาลฎีกาเห็นว่า สินค้าที่จัดอยู่ในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 35.06 นั้น จะต้องเป็นการที่ปรุงแต่งแล้วซึ่งมิได้ระบุหรือรวมไว้ในที่อื่น รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับใช้อย่างกาว แต่สินค้ารายพิพาทนี้นางปิยารัตน์ พาสุทธิ์นักวิทยาศาสตร์ 6 พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้วิเคราะห์สินค้ารายพิพาทเบิกความว่า สินค้ารายพิพาทยังไม่เป็นกาว เป็นพีโนริก อีเทอร์เรซีน ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เคมีที่ได้จากกรรมวิธีคอนเด็นเซซั้นโปรดัก ที่ยังมีสภาพเป็นวัตถุดิบอยู่ ต้องนำไปผสมก่อนจึงจะเป็นของสำเร็จรูป โดยต้องผสมกับฮาร์เดนเนอร์ซึ่งเป็นเคมีภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง จึงจะเป็นกาวดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะใช้อย่างกาวได้ เพราะไม่มีคุณสมบัติเป็นกาวเป็นเพียงวัตถุดิบ และมีความเห็นว่าเข้าพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 39.01 ก. ซึ่งกรมศุลกากรก็เห็นชอบด้วย และตามรายงานการวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์เอกสารหมาย จ.7 ซึ่งทำการวิเคราะห์เอเวอร์ฟิกซ์ เคลียร์ เอ็กพ็อกซี เรซีน ก็วิเคราะห์ว่าเป็น เคลียร์ เอ็กพ็อกซี เรซีน กับเอ็กพ็อกซี เรซีนฮาร์เดนเนอร์ ซึ่งเมื่อผสมวัตถุทั้งสองเข้าด้วยกันตามสัดส่วนหนึ่งต่อหนึ่งแล้วใช้เป็นกาวได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเป็นสินค้ารายพิพาทเป็นกาวที่ปรุงแต่งแล้วหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับใช้อย่างกาว กรณีจึงไม่ใช่สินค้าที่จัดอยู่ในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 35.06 ดังที่จำเลยนำสืบ แต่เป็นสินค้าที่จัดอยู่ในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 39.01 ก. พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าสินค้าชนิดเดียวกับสินค้ารายพิพาท กรมศุลกากรได้จัดให้เรียกเก็บอากรขาเข้าในพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่39.01 ก. มาแล้ว จำเลยทั้งสามยังยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าสินค้ารายพิพาทโดยสำแดงรายการอย่างเดียวกันเพื่อขอชำระอากรขาเข้าในประเภทที่ 35.06 อีก ทั้ง ๆ ที่กรณีมิได้เข้าข้อยกเว้นตามที่จำเลยนำสืบต่อสู้ การสำแดงดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อชักพาให้พนักงานเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรผิด หลงในรายการสินค้าและพิกัดอัตราอากรขาเข้าตามที่จำเลยทั้งสามร่วมกันสำแดงไว้ เพื่อจะได้ชำระอากรขาเข้าเป็นเงินจำนวนน้อยกว่าพิกัดอัตราอากรขาเข้าที่ถูกต้องถือได้ว่า จำเลยทั้งสามมีเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยสำแดงรายการในใบสินค้าขอชำระอากรขาเข้าตามพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 35.06 ตรงกับความเป็นจริงแล้ว จำเลยไม่มีความผิดและพิพากษากลับให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมาในคำแก้ฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ และข้อที่จำเลยแก้ฎีกาว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้องนั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าว่า สินค้าที่นำเข้าเป็นกาวเคมี แต่ความจริงเป็นกาวเคมีและน้ำยาทำให้กาวแข็งอันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกรรมวิธีทางเคมีชนิดที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งหมายความว่า มิใช่กาวที่ปรุงแต่งแล้ว รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับใช้อย่างกาว ตามพิกัดอัตราอากรขาเข้าประเภทที่ 35.06 ดังนั้นการที่โจทก์นำสืบว่าสินค้าที่จำเลยนำเข้าไม่ใช่กาว จึงเป็นการนำสืบตามฟ้องแล้วหาได้ต่างกับฟ้องไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีลงโทษตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น”.

Share