คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงระงับข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินชั้นอำเภอเปรียบเทียบที่มีเงื่อนไขว่าให้ฟังคำให้การพยานคนกลางเป็นข้อชี้ขาด เมื่อพยานได้ให้การไปแล้ว ฝ่ายใดจะยกขึ้นมาโต้แย้งว่าพยานคนกลางให้การไม่ตรงต่อความเป็นจริงอีกไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้พิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์และจำเลยที่ 1 เคยโต้แย้งสิทธิกันที่อำเภอครั้งหนึ่งอำเภอเปรียบเทียบคู่กรณีตกลงให้พยานคนกลางชี้ขาด พยานชี้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานไปรังวัดแจ้งสิทธิครอบครองเพื่อขายให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1-2 สมคบกันทำสัญญายอมความในศาลโดยจำเลยที่ 1 ยอมขายนาให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยเพิ่งขอให้อำเภอทำนิติกรรมโจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์

จำเลยต่อสู้ว่านาพิพาทเป็นของมารดาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 โอนนาพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริต จำเลยที่ 2 ครอบครองมาเกิน 1 ปีแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า นาพิพาทเป็นของโจทก์

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าทั้งสองฝ่ายนำสืบรับรองกันว่าที่นาพิพาทโจทก์และจำเลยที่ 1 เคยพิพาทกันมาครั้งหนึ่งแล้วในชั้นอำเภอ และได้ตกลงกันเพื่อระงับข้อพิพาทโดยมีเงื่อนไขให้ถือเอาคำกำนันพร้อมที่จะมาให้การต่ออำเภอเป็นข้อชี้ขาด และต่างรับรองว่าจะไม่ยกขึ้นต่อสู้และโต้เถียงกันอีกต่อไป ทั้งสองฝ่ายได้ลงชื่อรับรองไว้ ทางอำเภอได้จัดการให้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งข้อตกลงนั้นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จึงต้องบังคับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850, 852 คู่กรณีจะอ้างว่าพยานคนกลางให้การไม่ตรงต่อความจริงโต้เถียงอีกไม่ได้ จำเลยที่ 2 รู้ดีในผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ยังขืนรับโอนและชำระราคาไปจึงเป็นการไม่สุจริต ยิ่งกว่านี้เรื่องนี้ยังปรากฎว่าจำเลยที่ 1 และ 2 ทำสัญญายอมความกันที่ศาล แต่ยังหามีการรับโอนจดทะเบียนที่ดินโดยถูกต้องไม่ จึงใช้ยันโจทก์ไม่ได้ โจทก์ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share