แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกำหนดว่า ห้ามพนักงานดื่มหรือเสพสุราในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัทโดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาดผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ระเบียบข้อบังคับดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของจำเลยและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของจำเลย การที่โจทก์ออกไปดื่มสุราข้างนอกบริษัทแล้วเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัท ย่อมถือได้ว่าโจทก์เมาสุราในขณะปฏิบัติงานนั่นเองอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวและเมื่อลักษณะงานของโจทก์เป็นงานขับรถเครน ยกของหนักซึ่งโจทก์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ทั้งเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครนทำให้พนักงานของจำเลยได้รับบาดเจ็บสาหัสการกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างและเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด อันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายกับเงินเพิ่มพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์จงใจละทิ้งหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์จากค่าจ้างโดยไม่มีสิทธิได้รับและกลับเข้าทำงานขณะมึนเมาสุรา เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรง ไม่ใช่เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ในวันที่จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่นั้น โจทก์ไปพบเจ้าหน้าที่แรงงานจังหวัดกรณีจำเลยทำผิดกฎหมายและโจทก์ไม่ได้ดื่มสุรากลับเข้ามามึนเมาในขณะทำงานขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างและเงินประกันให้แก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์ให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์สรุปเป็นใจความว่า โจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงตามเอกสารหมาย ล.2 ข้อ 9.3.5 ซึ่งกำหนดว่า “ห้ามพนักงานดื่มหรือเสพสุรา เครื่องดองของเมา หรือยาเสพติดใด ๆ ในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัท…..ฯลฯ…. โดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาด ผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิด” และข้อ 9.8.2กำหนดว่า “การกระทำความผิดดังต่อไปนี้ บริษัทฯ ถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง….ดื่มสุรา…..ใบบริเวณบริษัทฯ” ระเบียบข้อบังคับดังกล่าวมีข้อความระบุชัดว่าจะต้องเป็นการดื่มในบริเวณโรงงานเท่านั้น แต่โจทก์เมาสุราจากข้างนอกแล้วกลับเข้าไปทำงานจึงไม่ผิดระเบียบนั้น เห็นว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยข้อ 9.3.5ดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของจำเลยและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของจำเลย ดังนั้น การที่โจทก์ออกไปดื่มสุราหรือเครื่องดอง ของเมาข้างนอกบริษัทฯและเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัทฯ ย่อมถือได้ว่าโจทก์เมาสุราในขณะปฏิบัติงานนั่นเอง ซึ่งถือว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวไม่เป็นกรณีร้ายแรงนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงว่างานขับรถเครนยกของหนักที่โจทก์ทำต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง และเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครนทำให้พนักงานของจำเลยได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อปรากฏว่าโจทก์เมาสุราเข้ามาปฏิบัติงานซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงการกระทำของโจทก์ดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(3) จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนดังที่โจทก์อ้าง ทั้งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 853 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่า เมื่อการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรงดังได้วินิจฉัยมาข้างต้นการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมดังที่โจทก์อ้าง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.