คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1108/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ระเบียบข้อบังคับของนายจ้างที่กำหนดว่า “ห้ามพนักงานดื่ม หรือเสพสุราเครื่องดอง ของเมา หรือยาเสพติดใด ๆ ในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัท… โดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาด ผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิด” นั้น มีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของนายจ้างและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของนายจ้าง ดังนั้น การที่ลูกจ้างออกไปดื่ม สุราหรือเครื่องดอง ของเมาข้างนอกบริษัทและเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัทย่อมถือได้ว่าลูกจ้างเมาสุราในขณะปฏิบัติงาน เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าว งานขับรถเครน ยกของหนักที่ลูกจ้างทำต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครน ทำให้พนักงานได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อปรากฏว่าลูกจ้างเมาสุราเข้ามาปฏิบัติงานซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง การกระทำของลูกจ้างดังกล่าวถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) นายจ้างย่อมเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ทั้งมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 เมื่อการกระทำของลูกจ้างเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรง การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างย่อมมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ทำหน้าที่ขับเครนขันเหล็กจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์เมาสุราขณะทำงาน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เป็นการผิดระเบียบข้อบังคับอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้อแย้งว่า โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ขับเครนยกเหล็กสิบตันแผนกคลังสินค้า ได้ละทิ้งงานออกไปจากบริเวณโรงงานตั้งแต่เวลา 8.30 นาฬิกา โดยไม่ได้รับอนุญาต กลับเข้าไปทำงานในอาการมึนเมาสุรา โดยยกของหนักสืบตันผ่านคนงานที่กำลังทำงานอยู่ ซึ่งอาจเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่ข้างล่าง และโจทก์ได้ละทิ้งหน้าที่ออกไปจากโรงงานตั้งแต่เวลา9 ถึง 12 นาฬิกา ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าไม่ทันตามกำหนด และถูกบริษัทผู้รับขนส่งปรับ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวน 95,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในวันลาป่วยค่าจ้างค้างจ่ายและเงินประโยชน์แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “โจทก์อุทรณ์สรุปเป็นใจความว่า โจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงตามเอกสารหมาย ล.2 ข้อ 9.3.5 ซึ่งกำหนดว่า”ห้ามพนักงานดื่มหรือเสพสุรา เครื่องดองของเมา หรือยาเสพติดใด ๆ ในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัทฯ…โดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาด ผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิด”และข้อ 9.8.2 กำหนดว่า “การกระทำความผิดดังต่อไปนี้ บริษัทฯถือว่าเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง…ดื่มสุรา…ในบริเวณบริษัทฯ” ระเบียบข้อบังคับดังกล่าวมีข้อความระบุชัดว่า จะต้องเป็นการดื่มในบริเวณโรงงานเท่านั้น แต่โจทก์เมาสุราจากข้างนอกแล้วกลับเข้าไปทำงานจึงไม่ผิดระเบียบ นั้น เห็นว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยข้อ 9.3.5 ดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของจำเลยและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของจำเลยดังนั้นการที่โจทก์ออกไปดื่มสุราหรือเครื่องดองของเมาข้างนอกบริษัทฯ และเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัทฯย่อมถือได้ว่าโจทก์เมาสุราในขณะปฏิบัติงานนั่นเอง ซึ่งถือว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวไม่เป็นกรณีร้ายแรงนั้น เห็นว่าศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงว่า งานขับรถเครนยกของหนักที่โจทก์ทำต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครน ทำให้พนักงานของจำเลยได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อปรากฎว่าโจทก์เมาสุราเข้ามาปฏิบัติงานซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงการกระทำของโจทกืดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47 (3) จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนดังที่โจทก์อ้าง ทั้งจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น เห็นว่าเมื่อการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรงดังได้วินิจฉัยมาข้างต้น การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมดังที่โจทก์อ้าง”
พิพากษายืน.

Share