คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ดำเนินการวิ่งเต้นให้เจ้าของที่ดินยอมให้บริษัท ว. เข้าทำการปรับปรุงที่ดินอันเป็นแหล่งเสื่อมโทรม จนเป็นผลให้เจ้าของที่ดินทำสัญญาดังกล่าวกับบริษัท ว. และทำให้โจทก์ได้รับเงินค่าตอบแทนจากบริษัท ว. การกระทำของโจทก์เข้าลักษณะเป็นนายหน้าตัวแทนจัดการงานให้ เป็นการประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 บัญชีอัตราภาษีการค้า 10 นายหน้าและตัวแทน โจทก์จึงต้องจดทะเบียนการค้าและเสียภาษีการค้า ทั้งต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40 (2) จากจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับมาจากบริษัท ว.
ประมวลรัษฎากร มาตรา 19, 20 มิใช่บทบัญญัติเรื่องอายุความในการเรียกร้องให้ชำระภาษี แต่เป็นบทบัญญัติกำหนดระยะเวลาให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการมาไต่สวนเท่านั้น ส่วนสิทธิเรียกร้องให้ชำระภาษีเงินได้และเงินเพิ่มมีอายุความ 10 ปี โดยเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ผู้เสียภาษีต้องยื่นรายการและชำระค่าภาษีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 167 ภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ. 2509 โจทก์จะต้องยื่นรายการภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2510 เมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่พ้น 10 ปี จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือแจ้งประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์สำหรับปี พ.ศ.๒๕๐๙ -๒๕๑๒ และภาษีการค้าตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง พ.ศ.๒๕๑๒ โดยถือว่าโจทก์มีเงินได้และประกอบการค้าในลักษณะนายหน้าอันเป็นการไม่ชอบ เพราะเงินที่โจทก์รับมาทั้งหมดเป็นเพียงรับผ่านมือเพื่อจ่ายให้บุคคลอื่นต่อไปเท่านั้น และจ่ายไปเกิน ๑๐ ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องภาษีอากรจึงขาดอายุความ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า สิทธิเรียกร้องภาษีไม่ขาดอายุความการประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การประเมินของจำเลยที่ ๑ เกี่ยวกับภาษีเงินได้และเงินเพิ่มของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ขาดอายุความ ให้ยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ที่ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้และเงินเพิ่มปีดังกล่าว คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับภาษีเงินได้และเงินเพิ่มสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เสียด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามเอกสาร จ.๑ ซึ่งเป็นหนังสือของหลวงเพชรเกษมวิถีสวัสดิ์มีไปถึงโจทก์ว่า “ตามที่ข้าพเจ้าได้ใช้บริษัทอู่เรือบางลำภูล่าง จำกัด เสนอขอเช่าที่ดินของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยตามหนังสือของบริษัทที่อ้างข้างบนนี้ก็โดยที่ท่านและคณะเป็นผู้วิ่งเต้นติดต่อกับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยนำเรื่องนี้มาให้ข้าพเจ้า ฉะนั้น เมื่อบริษัทนี้หรือบริษัทที่กำลังจัดตั้งขึ้นใหม่ได้ตกลงทำสัญญากับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยเมื่อใด ข้าพเจ้าจะจ่ายค่าบริการให้คณะของท่านเป็นเงินห้าล้านบาท เมื่อทางการอนุมัติและเรียกบริษัททำสัญญาเมื่อใดแล้ว ข้าพเจ้ายินดีจะจ่ายเงินจำนวนนี้ให้ตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนรายละเอียดวิธีจ่ายจะได้ตกลงกันเมื่อบริษัทได้ทำสัญญากับจุฬาลงกรณมหาวิทยาแล้ว” และได้ความว่าบริษัทวังใหม่ จำกัด ได้ทำสัญญากับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๐๔ หลังจากนั้นโจทก์ได้รับเงินจากบริษัทวังใหม่ จำกัด เป็นคราว ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๕ ถึงปี พ.ศ.๒๕๑๒ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๔๙๔,๘๘๕.๕๐ บาท จึงเห็นได้ชัดว่าเงินที่บริษัทวังใหม่ จำกัด จ่ายให้แก่โจทก์เป็นการจ่ายเนื่องในการวิ่งเต้นติดต่อให้บริษัทได้เข้าทำสัญญากับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย หาใช่เป็นเงินค่าบริการเพื่อให้โจทก์จ่ายให้แก่ผู้อื่นแต่อย่างใดไม่ ที่โจทก์นำสืบและฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ได้จ่ายเงินให้กับจอมพลสฤษดิ์ และหลวงวิจิตรวาทการไปเนื่องในการนี้เป็นเงินรวม ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยได้กู้ยืมเงินผู้อื่นทดรองจ่ายไปก่อน ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท และรับเงินจากหลวงเพชรเกษมวิถีสวัสดิ์มาจ่ายอีก ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยอ้างถึงกรณีที่ผู้เข้าทำสัญญากับทางราชการรายอื่น ๆ ต้องเสียเงินค่าตอบแทนให้กับผู้มีอำนาจอนุมัติให้ทำสัญญานั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้รับฟังว่า เงินที่โจทก์รับไปจากบริษัทวังใหม่ จำกัด เป็นเงินที่จ่ายคืนให้กับโจทก์แทนเงินที่โจทก์ต้องจ่ายให้กับบุคคลทั้งสองนั้นได้ เพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ประโยชน์ตอบแทนจากการวิ่งเต้นติดต่อกับบุคคลทั้งสองนั้นโดยตรงแต่ประการใด ทั้งไม่มีทางที่จะฟังว่าเงินที่หลวงเพชรเกษมวิถีสวัสดิ์สัญญาจะจ่ายให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๑ เป็นเงินที่ผู้จ่ายมอบให้โจทก์ชดใช้เงินทดรอง เพราะผู้ที่ออกเงินทดรองจ่ายให้โจทก์ส่วนใหญ่เป็นเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท คือหลวงเพชรเกษมวิถีสวัสดิ์เป็นผู้ให้สัญญาอยู่แล้ว คดีจึงมีเหตุผลส่อให้เห็นว่า หากจะมีการจ่ายเงินค่าวิ่งเต้นกันจริงดังที่โจทก์พยายามโต้เถียงมาในฎีกา ก็น่าจะเป็นเงินอีกส่วนหนึ่งต่างหากไม่เกี่ยวกับจำนวนที่สัญญาจะจ่ายให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๑ ที่โจทก์อ้างว่าการที่โจทก์เข้าไปเกี่ยวข้องวิ่งเต้นให้บริษัทวังใหม่ จำกัด ได้เข้าทำสัญญาทำการปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรมดังกล่าวแล้วจะทำให้โจทก์มีรายได้จากการเป็นตัวแทนขายเครื่องปรับอากาศก็เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยไม่มีประมาณการว่า โจทก์จะมีรายได้จากการขายเครื่องปรับอากาศทั้งหมดเท่าใด และจะคุ้มกับการที่โจทก์ลงทุนทดรองยืมเงินมาจ่ายเป็นจำนวนมากนั้นหรือไม่ จึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ ข้อที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งว่า คำว่า ค่าบริการในเอสการหมาย จ.๑ มิได้หมายถึงค่านายหน้า ถ้าหมายถึงค่านายหน้าก็ควรจะเขียนไว้ตรง ๆ นั้น ก็เห็นว่าคำว่า ค่าบริการ มีความหมายเป็นที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไปว่า เป็นค่าตอบแทนการทำงานให้ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับข้อความตอนบนของเอกสารหมาย จ.๑ แล้ว ย่อมหมายถึงเป็นค่าตอบแทนการที่โจทก์และคณะวิ่งเต้นติดต่อให้บริษัทวังใหม่ จำกัด ได้เข้าทำสัญญากับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยนั่นเอง เข้าลักษณะเป็นนายหน้าตัวแทนจัดการงานให้เป็นการประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๗ บัญชีอัตราภาษีการค้า ๑๐ นายหน้าและตัวแทนซึ่งจะต้องจดทะเบียนการค้าและเสียภาษีการค้า ทั้งต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๔๐ (๒) จากจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับจากบริษัทวังใหม่ จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.๑ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินจำนวน ๓,๔๙๔,๘๘๕.๕๐ บาท ที่โจทก์ได้รับมาจากบริษัทวังใหม่ จำกัด เป็นเงินค่านายหน้าและเป็นเงินได้ของโจทก์ ซึ่งโจทก์จะต้องเสียภาษีเงินได้ ภาษีการค้า ฯลฯ จึงชอบแล้ว
มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับภาษีเงินได้ของโจทก์สำหรับปี พ.ศ.๒๕๐๙ ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ ปี พ.ศ.๒๕๐๙ เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ แต่โจทก์มิได้นำเงินค่านายหน้าที่ได้รับในปี พ.ศ.๒๕๐๙ จากบริษัทวังใหม่ จำกัด มารวมยื่นเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วย เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ หมายเรียกโจทก์มาไต่สวนเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ แล้ว ทำการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้สำหรับปี พ.ศ.๒๕๐๙ เพิ่มจากรายการที่ยื่นไว้ และแจ้งให้โจทก์ชำระเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๑๕ โจทก์ฎีกาว่า ภาษีเงินได้และเงินเพิ่มสำหรับปี พ.ศ.๒๕๐๙ ขาดอายุความแล้วตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๙ และ ๒๐ พิเคราะห์แล้วประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๙ และ ๒๐ หาใช่เป็นบทบัญญัติเรื่องอายุความในการเรียกร้องให้ชำระภาษีไม่ หากแต่เป็นบทบัญญัติกำหนดระยะเวลาให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการมาไต่สวนในเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่า รายการที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ภายในกำหนด ๕ ปี พ้นกำหนดนี้แล้ว จะมีผลก็เพียงเจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการมาไต่สวนเท่านั้น สิทธิเรียกร้องให้ชำระภาษีเงินได้และเงินเพิ่มมีอายุความ ๑๐ ปี โดยเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ผู้เสียภาษีต้องยื่นรายการและชำระค่าภาษีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๗ ซึ่งกรณีของโจทก์จะต้องยื่นรายการประเมินภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ นับถึงวันฟ้องยังไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share