แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป. กับจำเลยโต้เถียงกัน แล้วจำเลยถูก ป. กับพวกรุมชก ส.ถือฆ้อนเข้าช่วยป. จำเลยยิงส.1 นัดถูกต้นคอและใบหูขวา เป็นป้องกันสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
ป. กับจำเลยเถียงกันเรื่อง ป. เก็บค่าโดยสารเกินกว่าปกติ แล้ว ป. กับจำเลยลงจากรถชกต่อยกัน โดย ป. กับพวกรุมชกจำเลย ส. ลงจากรถถือฆ้อนเข้าช่วย ป. จำเลยร้องห้าม ส. เงื้อฆ้อนจะตี จำเลยยิง ส. 1 นัด ส. ตีจำเลยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 10 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เมื่อจับแล้วเห็นจำเลยมีบาดแผลที่ปาก และจำเลยมีรอยแผลเป็นที่ริมฝีปากด้านนอกยาว 1-5 เซนติเมตร และฟันล่างซี่หนึ่งมีรอยแตกเป็น 2 เสี่ยง ดังที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ในคำเบิกความของจำเลยแล้ว จำเลยยังมีนางหนู แสงจันทร์ และนายจวน สังข์แก้ว ซึ่งโดยสารมากับรถยนต์โดยสารในขณะเกิดเหตุเบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายลงจากรถยนต์โดยสารทางด้านท้ายไปหยิบฆ้อนจากทางด้านหน้าแล้วถือเข้าไปจะตีจำเลย จำเลยร้องห้ามไม่ให้เข้าไป ผู้เสียหายไม่เชื่อคงเข้าไปตีจำเลย จำเลยจึงยิงเอา ไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองดังกล่าวญาติกับจำเลยหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหาย จึงทำให้คำเบิกความของจำเลยเป็นพยานทั้งสองของจำเลยมีน้ำหนักดี ศาลฎีกาเชื่อว่า ขณะที่จำเลยชกต่อยกับนายประเสริฐนั้นผู้เสียหายลงจากรถยนต์โดยสารเพื่อช่วยนายประเสริฐ โดยถือฆ้อนเดินเข้าไปเพื่อทำร้ายร่างกายจำเลย จำเลยร้องห้าม ผู้เสียหายไม่เชื่อคงเดินเข้าไปและเงื้อฆ้อนจะตีจำเลย จำเลยจึงยิงผู้เสียหาย ในขณะเดียวกันนั้นผู้เสียหายก็ใช้ฆ้อนตีถูกจำเลยที่ปาก การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ซึ่งจำเลยกระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68”
พิพากษายืน