แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในชั้นร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา จำเลยส่งสำเนาคำร้องและสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลกึ่งหนึ่ง จำเลยนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่มิได้รับยกเว้นมาวางศาลแล้ว ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้รับเงินและรับฎีกาของจำเลยไว้แล้วดำเนินการออกหมายนัดแจ้งให้โจทก์ทราบกับกำหนดให้โจทก์แก้ฎีกาของจำเลยภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหมายนัดไม่มีเหตุต้องสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ซ้ำอีก อันเป็นคำสั่งที่ผิดหลงและเป็นเหตุให้จำเลยสำคัญผิดว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นแล้วไม่จำต้องปฏิบัติซ้ำอีก ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่ดำเนินคดีในการนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน6,335,956.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีของต้นเงิน6,075,750.28 บาท นับแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา และยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง หากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำค่าธรรมเนียมศาลมาเสียภายใน 15 วันนับแต่วันฟังคำสั่ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลกึ่งหนึ่งหากจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลส่วนที่มิได้รับการยกเว้นมาชำระภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง
จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยและมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วัน จำเลยไม่เสียค่าธรรมเนียมนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ในชั้นร้องขอฎีกาคดีอย่างคนอนาถาจำเลยได้ส่งสำเนาคำร้องและสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ไว้แล้วเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2541 ตามรายงานการเดินหมายในสำนวนศาลลำดับที่ 135 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอฎีกาคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยแล้ว ต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลกึ่งหนึ่ง จำเลยนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่มิได้รับยกเว้นมาวางศาลในวันที่ 7 ธันวาคม 2542 ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้รับเงินและรับฎีกาของจำเลยไว้ แล้วดำเนินการออกหมายนัดแจ้งให้โจทก์ทราบกับกำหนดให้โจทก์แก้ฎีกาของจำเลยภายใน15 วันนับแต่วันที่ได้รับหมายนัด ไม่มีเหตุที่จะต้องสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ซ้ำอีก ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน โดยให้จำเลยนำส่งภายใน 7 วันจึงเป็นการผิดหลง และเป็นเหตุให้จำเลยสำคัญผิดว่า การที่จำเลยได้ส่งสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์ไว้ดังกล่าวแล้วในตอนต้น เป็นการที่จำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นแล้ว ไม่จำต้องปฏิบัติซ้ำอีก ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีในการนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ตามคำสั่งศาลชั้นต้น”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน โดยให้จำเลยนำส่งภายใน 7 วันนั้นเสียเป็นให้จำเลยนำส่งหมายนัดแจ้งการรับฎีกากับกำหนดเวลาให้โจทก์แก้ฎีกาภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหมายนัดดังกล่าวแก่โจทก์ภายใน 7 วันนับแต่วันฟังคำพิพากษานี้นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น