แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเข้าไปในห้องซึ่งมีทรัพย์ของคนหลายคนหลายเจ้าของแล้วลักเอาทรัพย์ของคนหลายคนนั้นไปในคราวเดียวกัน ถือว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวไม่ใช่แยกเป็นต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ของเจ้าของคนหนึ่งและศาลลงโทษจำเลยไปแล้วโจทก์จะกลับมาฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์ในคราวเดียวกันนั้นของคนอื่นๆ อีกไม่ได้ ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยงัดตู้ใส่เสื้อผ้าแล้วลักเอาปากกาและดินสอเชฟเฟอร์ 1 ชุด กับแว่นตาไซด์ 1 อันของนายจิ๋น แซ่พู่ ไปโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3)
จำเลยรับว่า ลักทรัพย์ไปจริง แต่ในวันเวลาและสถานที่เดียวกันนั้นจำเลยลักทรัพย์ของนายกังฟัด นายตึ๋ง ซึ่งอยู่ในห้องเดียวกันและจำเลยถูกฟ้องศาลลงโทษไปแล้ว การลักทรัพย์รายนี้เป็นกรรมเดียว วาระเดียวกัน จึงไม่ต้องรับผิดในคดีนี้อีก
โจทก์แถลงรับว่า จำเลยถูกฟ้องหาว่าลักทรัพย์นายกังฟัด นายตึ๋งศาลพิพากษาไปแล้วจริง จำเลยเข้าไปลักทรัพย์ในคดีนั้นกับคดีนี้คราวเดียวกัน ทรัพย์เก็บอยู่ในห้องเดียวกัน จำเลยลักทรัพย์ของนายตึ๋งซึ่งแขวนไว้ และงัดตู้ไม้ ของนายจิ๋นลักทรัพย์ในตู้ไป
จำเลยแถลงรับว่าเป็นจริงตามโจทก์แถลง
ศาลอาญาพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว วาระเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยเข้าไปลักทรัพย์ในห้องซึ่งมีทรัพย์ของคนหลายคนหลายเจ้าของในคราวเดียวกัน และเก็บเอาทรัพย์ของคนหลายคนไป เป็นการกระทำกรรมเดียว ไม่ใช่แยกเป็นต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ในคราวเดียวกันนี้ และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว โจทก์จะกลับมาฟ้องจำเลยในความผิดอันเป็นกรรมเดียวกันนั้นอีกหาได้ไม่ สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)
พิพากษายืน