แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 19 เม็ด น้ำหนัก 1.77 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.327 กรัม แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องโดยใช้คำว่า “น้ำหนักสุทธิ” แต่ก็เห็นได้ว่าการใช้คำว่า “น้ำหนัก” เป็นการหมายถึงเฉพาะน้ำหนักของเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องเท่านั้น ซึ่งมีความหมายเดียวกัน เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่หนึ่งจุดห้ากรัมขึ้นไปไว้ในครอบครอง ดังนี้ เมทแอมเฟตามีนตามฟ้องจึงมีปริมาณต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 15 วรรคสาม (2) แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 19 เม็ด ของกลางไว้ในครอบครอง กรณีจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามบทบัญญัติของกฎหมาย ที่ให้ถือว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ลงโทษจำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยเป็นประการแรกว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองจำนวน 14 เม็ด หรือ 19 เม็ด เห็นว่า พยานผู้จับกุมเบิกความได้สอดคล้องต้องกันและพยานผู้จับกุมกับพนักงานสอบสวนต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีเหตุให้ระแวงน่าสงสัยว่าพยานโจทก์จะกลั่นแกล้งและเบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามความเป็นจริง แม้พยานผู้จับกุมจะตรวจค้นตัวจำเลยพบเมทแอมเฟตามีนเพียง 14 เม็ด ส่วนเมทแอมเฟตามีนอีก 5 เม็ด นั้น ถูกค้นพบในชุดลูกเสือซึ่งแขวนอยู่ภายในบ้านของจำเลย แต่จำเลยได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา อย่างสมเหตุผลถึงแหล่งที่มาของเมทแอมเฟตามีนของกลางว่าจำเลยซื้อมาจากนายเสริม คนขับรถบรรทุกสิบล้อ 20 เม็ด และเสพไปก่อนเจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าตรวจค้น 1 เม็ด จึงทำให้เหลือเมทแอมเฟตามีนอยู่ 19 เม็ด และยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่าย เชื่อว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 19 เม็ด ของกลางไว้ในครอบครอง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นประการต่อไปว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม บัญญัติว่า “การผลิต นำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามปริมาณดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย…(2) แอมเฟตามีนหรืออนุพันธุ์แอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป หรือมียาเสพติดที่มีสารดังกล่าวผสมอยู่จำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไป หรือมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่หนึ่งจุดห้ากรัมขึ้นไป…” คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 19 เม็ด น้ำหนัก 1.77 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.327 กรัม แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องโดยใช้คำว่า “น้ำหนักสุทธิ” แต่ก็เห็นได้ว่าการใช้คำว่า “น้ำหนัก” เป็นการหมายถึง เฉพาะน้ำหนักของเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องเท่านั้น ซึ่งมีความหมายเดียวกัน เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่หนึ่งจุดห้ากรัมขึ้นไปไว้ในครอบครอง ดังนี้ เมทแอมเฟตามีนตามฟ้องจึงมีปริมาณต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 15 วรรคสาม (2) ดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน 19 เม็ด ของกลางไว้ในครอบครอง กรณีจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามบทบัญญัติของกฎหมายข้างต้นที่ให้ถือว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยมีเจตนามีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษที่เป็นภัยร้ายแรง นอกจากจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพอนามัยของ ผู้เสพเองแล้ว ยังอาจเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรมหลายประเภท ทั้งผู้เสพที่มีอาการมึนเมาเมทแอมเฟตามีนยังอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและร่างกายผู้อื่นได้โดยง่าย จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นจำนวนถึง 19 เม็ด น้ำหนัก 1.77 กรัม มีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ 0.327 กรัม ถือได้ว่ามีไว้ในครอบครองเป็นจำนวนมาก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้โทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจะไม่เกินสามปี ก็ไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2541 ที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น