แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซื้อที่ดินมีโฉนดไว้จากผู้มีชื่อ ในชั้นแรกโจทก์เข้าใจว่ามีอาณาเขตไม่กินที่พิพาทแม้ต่อมาภายหลังได้ความว่าเขตโฉนดที่โจทก์ซื้อกินถึงที่พิพาทด้วยก็ดี แต่ก็ได้ความว่าโจทก์ทราบอยู่แล้วในขณะซื้อว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ควรได้ที่เต็มตามโฉนดที่ได้ซื้อไว้ตามความในมาตรา 1299,1300 แห่ง ป.ม.แพ่งฯ หาได้ไม่เพราะเมื่อโจทก์ซื้อ โจทก์ทราบอยู่แล้วว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทมาอย่างเป็นเจ้าของ จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ซื้อที่รายพิพาทไว้โดยสุจริต
(อ้างฎีกาที่ 762/2494)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ซื้อที่ดินมีโฉนดมาจากผู้มีชื่อแล้วได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา ปรากฎว่าจำเลยได้อาศัยปลูกเรือนอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์มานานแล้ว บัดนี้จำเลยเถียงกรรมสิทธิ จึงขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่กรรมสิทธิและอ้างว่า ได้ครอบครองที่พิพาทมาด้วยความสงบและเปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของมานาน ๒๐ ปีแล้ว
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ , ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกา เห็นว่า ทางพิจารณาฟังได้ว่า ก่อนที่โจทก์ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้จากจุ่น โจทก์ทราบและเห็นมาด้วยตนเองแล้วว่า จำเลยครอบครองอยู่ในที่พิพาทมาก่อนนานเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ในชั้นแรกโจทก์เข้าใจว่าเขตโฉนดไมกินที่พิพาท แม้ต่อมาภายหลังได้ความว่ากินถึงที่พิพาทด้วยก็ดี โจทก์จะอ้างว่า โจทก์ควรได้ที่ดินเต็มเขตโฉนดที่ได้ซื้อไว้ตามในมาตรา ๑๒๙๙, ๑๓๐๐ แห่ง ป.ม.แพ่งฯ หาได้ไม่ เพราะเมื่อโจทก์ซื้อไว้ทราบอยู่แล้วจำเลยครอบครอง
ทีพิพาทมาอย่างเป็นเจ้าของ จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์ซื้อที่รายพิพาทไว้โดยสุจริต (อ้างฎีกาที่ ๗๖๒/๒๔๙๔)
จึงพิพากษายืน