คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 9 บัญญัติให้พนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้จ่ายสินบนหรือรางวัลได้โดยให้จ่ายราคาของกลางหรือค่าปรับแตกต่างกับพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 มาตรา 30 ซึ่งบัญญัติให้ผู้มีความผิดเป็นผู้เสียเงินค่าสินบนนำจับ มิได้ให้อำนาจพนักงานอัยการขอแทนได้ พนักงานอัยการหรือรัฐบาลไม่มีสิทธิในเงินสินบนนั้น และพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 ได้บัญญัติทับพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดในเรื่องเงินสินบนนำจับนั้นแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะขอเงินสินบนนำจับแทนได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1043/2492 และ 1933/2492)
จำเลยกระทำความผิดฐานไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บสิ่งของที่ประกาศควบคุม เมื่อของกลางมิใช่สิ่งของที่ห้ามการค้ากำไรเกินควร จึงริบสิ่งของนั้นตามพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 มาตรา 29 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีสิ่งของไว้ในความครอบครองอันเป็นสินค้าที่คณะกรรมการกลางป้องกันการค้ากำไรเกินควรประกาศแจ้งปริมารและสถานที่เก็บ จำเลยทราบดีแล้วไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของนายกรัฐมนตรี และประกาศคณะกรรมการกลางป้องกันการค้ากำไรเกินควรผู้แจ้งความนำจับนำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกับของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๘, ๑๒, ๑๗, ๒๔ (ศาลชั้นต้นปรับบทมาตรา ๑๒ และ ๒๔ เกินมา) ให้ลงโทษตามมาตรา ๑๗ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๐ ลงโทษจำคุกและปรับลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง โทษจำคุกให้รอไว้ ของกลางไม่ใช่ของอันพึงจะริบตามมาตรา ๒๙ ของพระราชบัญญัตินี้เพราะไม่ใช่สิ่งของที่เกี่ยวกับการกระทำผิดจึงไม่ริบ ตามนัยฎีกาที่ ๒๐๑/๒๔๙๓ ส่วนคำขอที่สั่งให้จ่ายเงินสินบนให้แก่ผู้แจ้งความนำจับนั้น โจทก์ไม่มีอำนาจขอได้ตามนัยฎีกาที่ ๑๐๔๓/๒๔๙๒
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
คดีมีปัญหาว่าพนักงานอัยการโจทก์จะอาศัยอำนาจตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พุทธศักราช ๒๔๘๙ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเสียเงินค่าสินบนนำจับตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๓๐ ได้หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพุทธศักราช ๒๔๘๙ มาตรา ๙ บัญญัติให้พนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้จ่ายสินบนหรือรางวัลได้เฉพาะในกรณีที่ขอตามมาตรา ๘ โดยให้จ่ายจากราคาของกลางหรือค่าปรับแตกต่างกับมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.๒๔๙๐ ซึ่งบัญญัติให้ผู้มีความผิดเป็นผู้เสียค่าสินบนนำจับมิได้ให้อำนาจโจทก์ขอแทนได้ และโจทก์หรือรัฐบาลไม่มีสิทธิในเงินสินบนนั้น และพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.๒๔๙๐ ได้บัญญัติทับพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดในเรื่องเงินสินบนนำจับนั้นแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะขอเงินสินบนนำจับแทนได้ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๔๓/๒๔๙๒ คดีระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นางซิวเอ็ง แซ่คู จำเลย และคำพิพากษาฎีกาซึ่งได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ที่ ๑๙๓๓/๒๔๙๒ คดีระหว่างพนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นางจันทร์ สุขรัตน์ จำเลย
โจทก์ฎีกาว่าศาลมีอำนาจริบของกลางในคดีนี้ได้เพราะเป็นสิ่งของที่ห้ามการค้ากำไรเกินควรซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิด ตามความหมายของพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๒๙ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีของจำเลยคดีนี้เป็นความผิดฐานไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บสิ่งของที่ประกาศควบคุมของกลางมิ ใช่ของที่ห้ามการค้ากำไรเกินควรจึงริบไม่ได้ตามมาตรา ๒๙ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share