คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกายดังนี้แม้โจทก์ไม่ได้อ้างบทลงโทษฐานทำร้ายร่างกายมาก็ตามเมื่อความผิดฐานทำร้ายร่างกายอาจแยกเป็นบทความผิดสำเร็จส่วนหนึ่งก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้(อ้างฎีกาที่379/2479)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพกศาสตราวุธไปในถนนหลวงโดยมิได้รับอนุญาตและได้ลักปากกายี่ห้อเชฟเฟอรของพลตำรวจสาย 1 ด้าม โดยจำเลยใช้ศาสตราวุธมีคมแทงพลตำรวจสายและพลตำรวจบัว ขอให้ลงโทษ

จำเลยปฏิเสธ

ศาลทหารบกที่ 3 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลทหารกลางพิพากษากลับคำพิพากษาศาลทหารบกที่ 3 ว่าจำเลยมีความผิด 2 กระทง คือ (1) ฐานทำร้ายร่างกายตาม กฎหมายอาญา มาตรา 254จำคุก 6 เดือน (2) มีศาสตราวุธพาไปในถนนหลวงตาม มาตรา 335 ข้อ 2มาตรา 2 ปรับ 12 บาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยมีมีดซึ่งเป็นศาสตราวุธพาไปในถนนหลวงโดยมิได้รับอนุญาต จำเลยใช้มีดนี้แทงพลตำรวจสาย พลตำรวจบัวบาดเจ็บจริง

แม้คดีนี้โจทก์จะกล่าวหาว่าชิงทรัพย์ แต่โจทก์ก็กล่าวในฟ้องโดยแจ้งชัดว่าจำเลยได้ทำร้ายร่างกายบุคคลถึงบาดเจ็บซึ่งอาจแยกเป็นความผิดสำเร็จส่วนหนึ่ง ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 379/2479

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย

Share