คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยโจทก์และจำเลยไม่สืบพยานศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแต่รอการลงโทษไว้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยไปรายงานตัวต่อจ่าศาลเดือนละครั้งภายในกำหนด1ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจฟังข้อเท็จจริงและแสดงเหตุที่ไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยตามประเด็นที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์แล้วส่วนข้อที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์ว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเป็นเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยไม่ได้นั้นเมื่อโจทก์มิได้บรรยายมาในคำฟ้องจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค2ไม่วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้จึงชอบแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา186(6)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2537 เวลาประมาณ 18.20นาฬิกา จำเลยมีเฮโรอีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7(1)จำนวน 1 หลอด น้ำหนัก 0.22 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเหตุเกิดที่ตำบลอุทัยใหม่ อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานีขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 8, 15, 67, 102 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15 (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคหนึ่ง),67, 102 จำคุก 2 ปี ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อจ่าศาลจังหวัดอุทัยธานีเดือนละ 1 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพียงแต่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้คุมความประพฤติของจำเลยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้มีข้อความแสดงเหตุผลในการพิพากษาดังกล่าวทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตามที่โจทก์อ้างเป็นประเด็นไว้ในอุทธรณ์ จึงเป็นคำพิพากษาไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 215,214 และมาตรา 186(6) ขอให้พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้พิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247, 243 นั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยโจทก์และจำเลยไม่สืบพยาน ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยไปรายงานตัวต่อจ่าศาลจังหวัดอุทัยธานีเดือนละ1 ครั้ง ภายในกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจฟังข้อเท็จจริงและแสดงเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยตามประเด็นที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์ ส่วนข้อที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์ว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเป็นเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยไม่ได้นั้น ปรากฏว่าข้อที่จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนโจทก์มิได้บรรยายมาในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นทั้งในคดีอาญายังเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ไม่มีโอกาสต่อสู้ในข้อนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นข้อนี้จึงชอบแล้ว คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่วินิจฉัยมาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(6) แล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share