คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 2 คนใช้ปืนเป็นอาวุธขู่จะฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์พาทรัพย์ไปและให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ แล้วลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป อันเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าในการปล้นทรัพย์นี้ จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงขู่ ซึ่งมีอัตราโทษกำหนดไว้ตามวรรคสี่ มาตรา 340 จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุก 20 ปีศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษเกินไปกว่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
พิพากษาลงโทษจำเลยเกินไปกว่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีย่อมมีผลถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกามาด้วย

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง คือ

ก. จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนพกสั้นลูกโม่ ขนาด .22 หนึ่งกระบอก ไม่มีเลขหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ กระสุนปืนขนาด .22 ใช้ยิงได้ 7 นัด กับปลอกกระสุนปืนขนาด .22 อีก 2 ปลอก ไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาต

ข. จำเลยทั้งสองกับพวกใช้ปืนเป็นอาวุธ ขู่ว่าจะฆ่านายวิจารณ์ หุตะแพทย์ นายล้อ แซ่ตั้น และนางสาวแอ๊ดหรือเฉลิมศรี ยามมีสิน ให้ถึงแก่ความตาย เพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์พาทรัพย์ไป และเพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกได้ลักเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น พร้อมด้วยจี้ ราคา 175 บาท นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา 220 บาท ของนายวิจารณ์ นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา 600 บาท ของนายฮ้อ และสร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 280 บาท ของนางสาวแอ๊ดหรือเฉลิมศรีไป

ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72; (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2510มาตรา 3 กับขอให้ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง และขอให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ทั้งหมดให้เจ้าทรัพย์

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดตามมาตรา 91 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี ของกลางริบและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์แต่ละคน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลดโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 13 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาปรึกษาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง แต่ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์คนละ 20 ปีนั้น ยังคลาดเคลื่อน เพราะตามฟ้องโจทก์ข้อ ข. บรรยายว่าจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 2 คน ใช้ปืนเป็นอาวุธขู่ว่าจะฆ่าผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย เพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์และพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้ยื่นซึ่งทรัพย์ อันเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปีแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าในการปล้นทรัพย์นี้ จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงขู่ ซึ่งมีอัตราโทษกำหนดไว้ตามมาตรา 340 วรรค 4 จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกยี่สิบปี ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยเกินไปกว่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213, 225

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 โดยกำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 12 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เพราะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นเหตุอันควรปรานี คงจำคุกจำเลยที่ 1 มี กำหนด 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share