แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นิติบุคคลเมื่อจดทะเบียนตามกฎหมายต่างประเทศมีอำนาจฟ้องคดีในศาลไทยหรือตั้งผู้แทนฟ้องคดีได้
นิติบุคคลในต่างประเทศมีอำนาจมอบให้นิติบุคคลในต่างประเทศ ซึ่งมีสำนักงานสาขาในประเทศไทยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของเขาได้
ถ้าจำเลยเห็นว่า การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะร้องขอให้ให้ศาลเพิกถอน ไม่ใช่เรื่องที่จะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ ในคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้า
เมื่อกล่องและสลากปิดขวดยาอันเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นของปลอมแล้ว แม้ตัวยาในขวดจะไม่ได้ความชัดว่าเป็นยาปลอม จำเลยผู้สั่งของนี้มาจำหน่าย โดยรู้ว่ากล่องและสลากยานั้นเป็นของปลอม ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าปลอม และต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานขาดประโยชน์ 83,850 บาท และค่าเสียหายฐานเสียชื่อเสียงเกียรติคุณ 50,000 บาท ศาลชั้นต้นให้ค่าเสียหาย 2 อย่างรวมกันมา 55,000 บาท และโจทก์อุทธรณ์ขอค่าเสียหายเต็มตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าควรได้เฉพาะค่าเสียชื่อเสียงเกียรติคุณและคงให้ใช้ค่าเสียหาย 55,000 บาทได้
การส่งประเด็นไปสืบพยานในต่างประเทศย่อมทำได้เมื่อจำเป็นและสมควร และค่าใช้จ่ายในการนี้เป็นค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งศาลใช้ดุลพินิจให้คู่ความฝ่ายใดเสียให้หรือเสียแทนกันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยา และเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ายารักษาโรคชื่อ โคลไรโมเซติน โดยจดทะเบียนไว้ในประเทศไทย จำเลยได้สั่งยาชื่อนี้มาจากฮ่องกง ๑,๗๒๘ ขวด ซึ่งตามสลากปิดชวดและกล่องกระดาษกับสำลีในขวดเป็นของปลอม เจ้าพนักงานยึดยาได้จากจำเลย ๖๑๐ ขวด นอกนั้นจำเลยขายไปแล้ว ทำให้ผลกำไรของโจทก์ตกต่ำลงเท่ากับผลกำไรที่จำเลยได้รับ ๘๓,๘๕๐ บาท และทำให้โจทก์ เสียชื่อเสียงเกียรติคุณอีก ๕๐,๐๐๐ บาท จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรวม ๑๓๓,๘๕๐ บาท กับทำลายยาของกลาง
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่ใช่ผู้ผลิต และไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ายานี้แต่ผู้เดียว การจดทะเบียนไม่สมบูรณืและไม่มีอำนาจจดทะเบียนเพราะไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะ จำเลยสั่งยานี้มาจากฮ่องกงโดยสุจริต โดยเป็นยาอันแท้จริงของโจทก์ สลาก กล่องและสำลีก็ไม่ใช่ของปลอม จำเลยไม่ได้ทำละเมิดและโจทก์ไม่เสียหาย
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๕๕,๐๐๐ บาท ให้ทำลายกล่องสลากยา ตลอดจนเครื่องหมายการค้าปลอม ส่วนยา ๖๑๐ ขวดของโจทก์ไม่ได้ฟ้องว่าเป็นยาปลอม ไม่มีเหตุจะทำลาย
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ทำลายยา ๖๑๐ ขวดด้วย และให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมที่โจทก์เสียไปในการส่งประเด็นไปสืบพยานในสหรัฐอเมริกาด้วย ค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าที่โจทก์ชนะ นอกนั้นยืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ๑. แม้บริษัทโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ ก็มีอำนาจฟ้องคดีในศาลไทยได้ และมีอำนาจตั้งผู้แทนฟ้องคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑ (๑๑), ๕๕, ๖๐ วรรค ๒ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๔
๒. โจทก์มีอำนาจมอบให้บริษัทนิติบุคคลในต่างประเทศ ซึ่งมีสำนักงานสาขาในประเทศไทยจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าของโจทก์ได้ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกับในข้อ ๑
๓. ที่จำเลยต่อสู้ว่า คำว่า “โคลโรไมเซติน” เป็นนามสามัญไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะจึงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๔ (๕) นั้น เห็นว่า ตามมาตรา ๒๗ และ ๔๑ ถ้าจำเลยเห็นว่าการจดทะเบียนของโจทก์ไม่ชอบอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องร้องขอให้เพิกถอน หาใช่จะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่
๔. เมื่อกล่องและสลากยาซึ่งมีคำว่า “โคลโรไมเซติน” อันเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นของปลอมแล้ว แม้ตัวยาข้างในจะไม่ได้ความชัดว่า เป็นของปลอมด้วยหรือไม่ก็ตาม จำเลยผู้สั่งของเหล่านี้เข้ามาจำหน่ายโดยรู้ ก็ย่อมเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าปลอมหรือละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นได้ และต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
๕. โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานขาดประโยชน์กำไรเป็นเงิน ๘๓,๘๕๐ บาท กับฐานเสียชื่อเสียงเกียรติคุณ ๕๐,๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นให้ค่าเสียหายทั้งสองอย่างรวมกันมา ๕๕,๐๐๐ บาท ศาลอุทธรณ์ให้เฉพาะค่าเสียหายในชื่อเสียงเกียรติคุณ แต่คงให้ใช้ค่าเสียหาย ๕๕,๐๐๐ บาท ดังนี้ ไม่เป็นการนอกฟ้องเพราะโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายมากกว่านี้ และศาลอุทธรณ์มีอำนาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควร
๖. การส่งประเด็นไปสืบพยานในต่างประเทศย่อมทำได้ เมื่อจำเป็นและสมควร เมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตแล้ว ค่าใช้จ่ายนั้นย่อมเป็นค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจให้คู่ความฝ่ายใดเสียหรือเสียแทนกันได้
พิพากษายืน