แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ และทำให้พืชผลของโจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษ และให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินและใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองปลูกพืชผลในที่พิพาทตลอดมา การกระทำของจำเลยไม่เป็นการบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกาว่าต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์และทำให้พืชผลของโจทก์เสียหาย ดังนี้ เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 สำหรับคดีส่วนแพ่ง แม้ที่พิพาทมีราคา 20,000 บาท ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการบุกรุกหรือทำให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยที่ 1 กับพวกหลายคน ใช้รถแทรกเตอร์ไถไร่ที่โจทก์ได้ครอบครองปลูกพืชผลไว้ เป็นที่ดินราว 16 ไร่เศษ คิดเป็นราคาเงิน 20,000 บาท ทำให้พืชผลมีต้นมะพร้าว มะม่วง ขนุน น้อยหน่า ง้าว กล้วย แค มะละกอ กับน้อยหน่าที่เพาะชำไว้เสียหายคิดเป็นเงิน 1,000 บาท และจำเลยที่ 2 ได้ยื่นเรื่องราวขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ส่วนหนึ่งของที่ดินโจทก์ตรงที่จำเลยบุกรุก กับขอแบ่งขายให้นายจิตรจำเลยที่ 3 อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นการถือเอาการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เป็นของตนเองและบุคคลที่สาม ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 359(4), 362, 363, 59, 83 ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ห้ามเกี่ยวข้อง และใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 1,000 บาทด้วย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้องทั้งคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่ง
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ขายและมอบการครอบครองให้จำเลยที่ 3 หากที่พิพาทจะเป็นของโจทก์ จำเลยก็ได้ครอบครอง คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองปลูกพืชผลในที่พิพาทฝ่ายเดียวมาโดยตลอด โจทก์ไม่มีสิทธิอย่างใด การที่จำเลยเอารถเข้าไถที่พิพาท จึงไม่เป็นการบุกรุกทำลายทรัพย์สินของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ 500 บาทแทนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นพิพากษายืน ให้โจทก์เสียค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย 250 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองปลูกพืชผลในที่พิพาทตลอดมา การที่จำเลยเอารถไถที่พิพาทไม่เป็นการบุกรุกทำลายทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์ฎีกาว่า ต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกับพวกบุกรุกที่ดินโจทก์และทำให้พืชผลของโจทก์เสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 219 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
สำหรับคดีส่วนแพ่ง ที่พิพาทราคา 20,000 บาท แม้จะไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ตาม แต่เมื่อคดีส่วนอาญา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทจำเลยมีสิทธิครอบครองไม่เป็นการบุกรุกหรือทำให้ทรัพย์สินโจทก์เสียหายแล้ว ศาลฎีกาก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ที่ว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 577/2499 ระหว่างนางนำ นิลยกานนท์ โจทก์ นางเกี๋ย ทิพย์โภชนา กับพวก จำเลย
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลย 100 บาท