แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยซื้อจากนายกองบิดาโจทก์ ส่วนที่ซึ่งนายกองบิดาโจทก์ขายฝากจำเลยเป็นที่คนละแปลงนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับการไถ่โอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ที่ขายฝาก จึงเป็นคดีที่มีคำขออันคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อราคาที่พิพาทไม่เกินห้าพันบาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่นายกองขายฝากอยู่ตรงไหน พร้อมทั้งได้แสดงแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง และมีสำเนาทะเบียนบุริมสิทธิ ฯลฯ แนบมาท้ายฟ้องด้วย เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว
อายุความตามมาตรา 1754 เป็นอายุความห้ามฟ้องคดีมรดกหรือคดีที่เจ้าหนี้ขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดก ส่วนคดีที่เจ้ามรดกเป็นเจ้าหนี้มิได้กำหนดอายุความไว้เป็นพิเศษในมาตรา 1754 แต่อย่างใด เมื่อเป็นคดีที่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนายกองผู้ขายเดิมฟ้องขอไถ่ทรัพย์คืนจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับซื้อฝากตามมาตรา 497 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยหลังจากนายกองผู้ขายเดิมตายเกิน 1 ปี คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ เพราะคดีนี้ไม่เป็นคดีมรดกหรือเป็นคดีที่เจ้าหนี้ขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดก จะนำมาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้
ข้อที่ว่าสิทธิในการไถ่ทรัพย์ตามมาตรา 497 พึงใช้ได้แก่บุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะให้เป็นผู้ไถ่ถอนได้เมื่อนายกองผู้ขายเดิมไม่ได้ทำสัญญายอมให้โจทก์เป็นคนไถ่ถอน โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะไถ่ทรัพย์นั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับมรดกจากบิดามารดา โดยเฉพาะที่ดินบ้านเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๑ งาน ๖ ตารางวา เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๙๗ นายกองแบ่งที่ดินดังกล่าวขายฝากไว้กับจำเลย เนื้อที่ ๒๔ ตารางวา เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑๐ ปี ต่อมาโจทก์ประสงค์จะขอไถ่ถอน จำเลยไม่ยอม ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า นายกองบิดาโจทก์ได้ขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยยาว ๒๔ วา ต่อมานายกองกู้เงินจำเลยไป ๓,๗๐๐ บาทแล้วไม่มีเงินชำระ จึงเอาที่ดินอื่นรวมทั้งที่ดินที่ขายฝากตีใช้หนี้ ส่วนที่พิพาทเป็นที่ดินคนละแปลง คือ เป็นที่ดินที่จำเลยซื้อจากบิดาโจทก์เมื่อ ปี.พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้ปลูกสร้างห้องแถวสามห้องเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนรับไถ่ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวในที่ดินและทำดินให้อยู่ในสภาพเดิม ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยซื้อจากนายกองบิดาโจทก์ ส่วนที่ซึ่งนายกองบิดาโจทก์ขายฝากจำเลยเป็นที่คนละแปลงนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับการไถ่โอนที่ดินคืนให้โจทก์ จำเลยต่อว่าสู้ที่พิพาทไม่ใช่ที่พิพาทที่ขายฝาก จึงเป็นคดีที่มีคำขออันคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อราคาที่พิพาทไม่เกินห้าพันบาท จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘
ข้อที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ในคำฟ้องโจทก์บรรยายไว้แล้วว่า ที่นายกองขายฝากนั้นอยู่ตรงไหน พร้อมทั้งแสดงแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและมีสำเนาทะเบียนบุริมสิทธิ ฯลฯ แนบมาท้ายฟ้อง เห็นว่าคำฟ้องได้แสดงชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นสมบูรณ์ตามมาตรา ๑๗๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่านายกองบิดาโจทก์ผู้ขายฝาก ตายเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๕ โจทก์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๗๕๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว นั้น เห็นว่า อายุความตามมาตรา ๑๗๕๔ เป็นอายุความห้ามฟ้องคดีมรดกหรือคดีที่เจ้าหนี้ขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดก ส่วนคดีที่เจ้ามรดกเป็นเจ้าหนี้ มิได้กำหนดอายุความไว้เป็นพิเศษในมาตรา ๑๗๕๔ แต่อย่างใด เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนายกองผู้ขายเดิม ฟ้องขอไถ่ทรัพย์คืนจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับซื้อฝาก ตามมาตรา ๔๙๗(๑) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยหลังจากนายกองผู้ขายเดิมตายเกิน ๑ ปี คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ เพราะคดีนี้ไม่เป็นคดีมรดกหรือเป็นคดีที่เจ้าหนี้ขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดก จะนำอายุความตามมาตรา ๑๗๕๔ มาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้
ข้อที่ว่าจำเลยฎีกาว่าสิทธิในการไถ่ทรัพย์ตามมาตรา ๔๙๗ พึงใช้ได้แก่บุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะให้เป็นผู้ไถ่ถอนได้ เมื่อนายกองผู้ขายเดิมไม่ได้ทำสัญญายอมให้โจทก์เป็นคนไถ่ถอนได้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะไถ่ทรัพย์นั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา ๒๔๙ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน