คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งบางส่วน และศาลอุทธรณ์ยังคงวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลย โดยให้โจทก์ชำระเท่ากับจำนวนค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ ซึ่งเท่ากับว่าทั้งโจทก์และจำเลยต่างชนะคดีตามฟ้องและฟ้องแย้งบางส่วน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหาย จึงไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมา ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ว่าด้วยคำพิพากษา ทั้งผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความได้ กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 247 ประกอบมาตรา 243 (1)
คดีของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 230,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งในส่วนค่าเสียหายดังกล่าว จึงเป็นการกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาขอให้ชนะคดีตามฟ้องแย้ง ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาจึงเป็นเงินจำนวน 230,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีถึงวันฟ้อง แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในทุนทรัพย์ 652,999.16 บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องเสีย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อสินค้าเป็นเงิน ๖๓๖,๑๗๔ บาท จากโจทก์ จำเลยไม่ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยได้รับสินค้าจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๖,๘๒๕.๑๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๕๒,๙๙๙.๑๖ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๓๖,๑๗๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าไม่ตรงตามตัวอย่าง ชำรุดบกพร่องไม่ได้มาตราฐาน จำเลยแจ้งให้โจทก์แก้ไขแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยได้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ทั้งให้โจทก์รับมอบสินค้าคืนแต่โจทก์เพิกเฉยทำให้จำเลยเสียหาย รวมค่าเสียหาย ๒๖๐,๐๐๐ บาท จำเลยขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๔๐ จนถึงวันฟ้อง เป็นดอกเบี้ย ๙,๗๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๖๙,๗๕๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าโกดังสินค้าเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะรับสินค้าคืนไปจากจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ส่งมอบสินค้าตรงตามตัวอย่างที่ตกลงซื้อขายกัน และได้วางบิลเรียกเก็บเงินแล้ว จำเลยได้นัดชำระเงินโดยไม่ทักท้วงว่าสินค้ามีความชำรุดบกพร่องภายในเวลาอันควร จึงไม่อาจอ้างเหตุความชำรุดบกพร่องมาปฏิเสธไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน ๑๒๗,๙๒๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับกับให้โจทก์รับมอบสินค้าคืนจากจำเลย และให้ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้งจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งบางส่วน ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยต่างชนะคดีตามฟ้องและฟ้องแย้งบางส่วน เมื่อโจทก์อุทธรณ์ขอให้ชนะคดีเต็มตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยังคงวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา เพียงแต่ศาลอุทธรณ์ลดค่าเสียหายในส่วนนี้ โดยให้โจทก์ชำระเท่ากับจำนวนค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์คือ ๑๒๗,๙๒๔ บาท ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยในส่วนค่าเสียหายจึงไม่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมา ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ทั้งผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ กรณีมีเหตุสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบมาตรา ๒๔๓ (๑)
อนึ่งคดีของจำเลยในส่วนฟ้องแย้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งในส่วนค่าเสียหายดังกล่าว จึงเป็นการกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่จำเลยฎีกาขอให้ชนะคดีตามฟ้องแย้ง ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาจึงเป็นเงินจำนวน ๒๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันดังกล่าวถึงวันฟ้อง แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในทุนทรัพย์ ๖๕๒,๙๙๙.๑๖ บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องเสีย จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาแก่จำเลย.

นายสมยศ เข็มทอง ผู้ช่วยฯ
นายเจษฎา ชุมเปีย ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นางอัปษร หิรัญบูรณะ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share