คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาในคดีแพ่งที่พิพากษาให้จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์โดยให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่ค้ำประกัน หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดชำระจนครบนั้น หมายถึงการบังคับคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ในกรณีที่จำเลยที่ 3 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาหาได้หมายความว่าให้โจทก์บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 โดยสิ้นเชิงก่อนถ้าได้เงินไม่พอจึงจะบังคับเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ไม่จำเลยที่ 4 อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยคนใดคนหนึ่งชำระหนี้โดยสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องและบังคับจำเลยที่ 4 ให้ชำระหนี้ที่ยังเหลือจากที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 3 และอาศัยหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนไม่น้อยกว่าสามหมื่นบาท เป็นมูลฟ้องให้ล้มละลายได้
จำเลยกล่าวในฎีกาแต่เพียงว่า ยังไม่มีเหตุผลสมควรที่จะให้จำเลยล้มละลายได้มิได้กล่าวข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ใช่บุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือมีฐานะมีทรัพย์สินอาจชำระหนี้ให้ครบได้อย่างไร หรือมีเหตุอื่นใดบ้างที่ไม่ควรให้ล้มละลาย ดังนี้ ฎีกาของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ.2518 มาตรา 7 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 8536/2513 ระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยแสงทอง ที่ 1 นายสมศักดิ์ วัฒนสุทธิสาสน์ ที่ 2 นางเติม คลองสุขเลิศที่ 3 พันเอกขุนทยานราญรอน ที่ 4 จำเลย ศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 1,930,065 บาท 33 สตางค์พร้อมด้วยดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับผิดไม่เกิน 1,800,000 บาท หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 คือที่ดินโฉนดที่ 1611 ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดจนครบ คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุดเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ส่วนจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 ได้ขอทำความตกลงกับโจทก์ยอมชำระหนี้ต้นเงินกับดอกเบี้ยถึงวันชำระ โจทก์ตกลงด้วย จำเลยที่ 3 ยอมถอนฟ้องอุทธรณ์ คดีถึงที่สุด จำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งได้ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองให้กับโจทก์เป็นเงิน 952,915 บาท 37 สตางค์ กับค่าธรรมเนียมค่าทนายตามคำพิพากษาของศาลแพ่งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2514 ซึ่งในวันนั้นมียอดหนี้ที่จำเลยทั้งหมดต้องร่วมกันชำระรวม 2,768,824 บาท 11 สตางค์ โดยจำเลยที่ 3 และที่ 4รับผิดจำนวนไม่เกิน 1,800,000 บาท เมื่อหักเงินที่จำเลยที่ 3 ชำระหนี้จำนองจึงเหลือยอดหนี้ที่จำเลยทั้งสามคดีนี้ต้องร่วมกันชำระเป็นเงิน 1,815,908 บาท74 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 คดีนี้รับผิดไม่เกิน 847,084 บาท 63 สตางค์ โจทก์ได้ออกหมายบังคับคดีแล้ว และเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2514 โจทก์ยื่นคำร้องขออายัดหุ้นของจำเลยที่ 3 ซึ่งถือหุ้นของบริษัทวัชรธนวัฒน์ จำกัดจำนวน 2,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ชำระค่าหุ้นเต็มแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดได้เงิน 20,000 บาท เงินจำนวนนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ อ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกหนี้ของบริษัทนครหลวงประกันชีวิตแห่งประเทศไทย จำกัด ผู้ล้มละลาย โจทก์จึงไม่ได้รับเงินจำนวน20,000 บาท จำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดคิดยอดหนี้เพียงวันที่ 18 พฤศจิกายน2517 เป็นเงิน 2,564,660 บาท 12 สตางค์ จำเลยที่ 3 รับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวเป็นเงิน 847,084 บาท 63 สตางค์ จำเลยทั้งสามไม่ชำระ เมื่อคิดหักเงินค่าขายหุ้นแล้ว จำนวนหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดเหลือเกินกว่า 30,000 บาท ซึ่งเป็นหนี้จำนวนแน่นอน จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ไปเสียจากเคหสถานที่เคยอยู่ และปิดสถานที่ประกอบธุรกิจการค้าส่วนจำเลยที่ 3 ได้โอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่น และยักย้ายทรัพย์ไปให้พ้นอำนาจศาล แสดงว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยเป็นจำเลยที่ 4 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 8536/2513 ของศาลแพ่ง คดีแพ่งดังกล่าวศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินต่อโจทก์ในวงเงินเกือบสองล้านบาท และให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับผิดไม่เกิน 1,800,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 คือที่ดินโฉนดที่ 1611 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ถ้าได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดชำระจนครบ จึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 4 (จำเลยที่ 3คดีนี้) ยังไม่ต้องรับผิดเพราะเป็นเพียงผู้ค้ำประกัน การปฏิบัติของโจทก์ต่อจำเลยที่ 3ในคดีแพ่งเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งน้อยลง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 4 ในคดีแพ่ง ทรัพย์ที่จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งยังมีพอที่จะยึดมาชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นไปได้ การกระทำของโจทก์เป็นการยอมความกับลูกหนี้โดยสละสิทธิในจำนวนหนี้แล้วกลับตีราคาทรัพย์ให้น้อยลง เพื่อบังคับเอากับจำเลยที่ 4 ในคดีแพ่งซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน ทั้งเป็นการผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ จำเลยที่ 4 ในคดีแพ่งจึงพ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 ส่วนที่โจทก์ขอเฉลี่ยเงินค่าหุ้นจำเลยที่ 3 ไม่คัดค้าน จำเลยที่ 3 ยังมีทรัพย์สินและสิทธิอื่น ๆซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีแพ่งศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันไว้ในวงเงินไม่เกิน 1,800,000บาท ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ร่วมรับผิดไม่เกิน 1,800,000 บาท ส่วนที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาด ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ขายทอดตลาดชำระจนครบนั้น หมายความถึงการบังคับคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา หาได้หมายความว่าบังคับให้โจทก์บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 โดยสิ้นเชิงก่อนแล้วถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้จึงจะบังคับเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 คดีนี้ไม่ จำเลยที่ 4 อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยอื่นในคดีแพ่ง โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยคนใดคนหนึ่งชำระหนี้โดยสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 โจทก์ใช้สิทธิบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งก่อน แต่ก่อนที่จะขายทอดตลาด จำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งได้ชำระหนี้ไถ่จำนองเป็นเงิน 952,915 บาท 37 สตางค์ กับค่าธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์คงเหลือหนี้ที่จะต้องชำระเป็นเงิน 847,084 บาท 63 สตางค์ นับว่าเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 3 คดีนี้ โจทก์ยอมรับชำระหนี้แล้วถอนการยึดทรัพย์และปลดจำนองให้แก่จำเลยที่ 3 ในคดีแพ่ง เป็นสิทธิที่โจทก์กระทำได้โดยชอบ จำเลยที่ 3 คดีนี้ได้รับประโยชน์จากการปลดหนี้เพียงเท่าส่วนที่ปลดให้เท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 293 กรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 697 เพราะจำเลยที่ 3 คดีนี้ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 3ในคดีแพ่ง หากแต่ต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกันในฐานะลูกหนี้ร่วม โจทก์มีสิทธิเรียกร้องและบังคับในหนี้ที่ยังเหลือแก่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 4 ในคดีแพ่งได้ไม่เป็นการบังคับผิดไปจากคำพิพากษาคดีแพ่งแต่อย่างใดการกระทำของโจทก์เป็นการชอบด้วยกฎหมายและสุจริต ดังนั้นโจทก์ย่อมอาศัยหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนไม่น้อยกว่าสามหมื่นบาท เป็นมูลฟ้องจำเลยที่ 3 ให้เป็นบุคคลล้มละลายได้

ส่วนข้อที่ว่าจำเลยที่ 3 มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ล้มละลายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 3 บรรยายในฎีกาโดยชัดแจ้งเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่อ้างว่าโจทก์จะอาศัยหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งเป็นมูลฐานในการฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้ ในตอนท้ายฎีกากล่าวเพียงว่า ทั้งยังไม่มีเหตุผลสมควรที่จะให้ล้มละลายได้ มิได้กล่าวข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 3 ไม่ใช่บุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือมีฐานะมีทรัพย์สินอาจชำระหนี้ให้ครบได้อย่างไร หรือมีเหตุอื่นใดบ้างที่ไม่ควรให้ล้มละลาย ฎีกาจำเลยที่ 3 ในข้อนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 7 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ข้อเท็จจริงจึงยุติฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 มีหนี้สินล้นพ้นตัว หนี้กำหนดได้แน่นอนมีจำนวนไม่น้อยกว่าสามหมื่นบาทและไม่มีเหตุอื่นที่ไม่สมควรให้ล้มละลายศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

พิพากษายืน

Share