แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พนักงานบริษัทจำเลยอ้างว่าได้รับมอบหมายจากบริษัทจำเลยให้มาตกลงเรื่องค่าเสียหายกับโจทก์ และได้ทำข้อตกลงกับโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายที่บริษัทจำเลยจะชดใช้ให้โจทก์ ดังนี้พนักงานบริษัทจำเลยผู้นั้นอาจเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยได้โดยผลของการให้สัตยาบัน แต่บริษัทจำเลยมิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของพนักงานบริษัทจำเลยดังกล่าว บริษัทจำเลยจึงใช้เอกสารข้อตกลงดังกล่าวมาผูกมัดโจทก์หาได้ไม่
เอกสารข้อตกลงระหว่างพนักงานบริษัทจำเลยกับโจทก์แม้จะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความก็ตาม แต่การที่พนักงานบริษัทจำเลยไปอ้างว่าได้รับมอบหมายจากบริษัทจำเลยโดยไม่มีหลักฐานการมอบหมายเป็นหนังสือแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการกระทำแทนบริษัทจำเลย ข้อตกลงในเรื่องค่าเสียหายจึงไม่มีผลผูกพันทั้งโจทก์และบริษัทจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถในทางการที่จ้างโดยประมาท เป็นเหตุให้ชนรถยนต์โจทก์เสียหายทั้งสิ้น 43,745 บาท
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิด และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อสืบพยานโจทก์ไปได้ 1 ปาก จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว ตามเอกสารหมาย ล.1 โจทก์แถลงรับว่าได้ทำเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง แต่เอกสารนั้นไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความและจำเลยแถลงรับว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ล.1เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเพียงตามที่ตกลงกันไว้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสารหมาย ล.1 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่นายนันทวัฒน์ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ให้มาทำความตกลงกับโจทก์โดยไม่มีหนังสือมอบหมายให้เป็นตัวแทน สัญญาประนีประนอมจึงไม่มีผลใช้บังคับ พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาในชั้นนี้แต่เพียงว่า เอกสารหมาย ล.1เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ อันจะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิเรียกร้องตามฟ้องคดีนี้หรือไม่ ได้ตรวจดูเอกสารหมาย ล.1 แล้ว ปรากฏข้อความสำคัญว่า “นายนันทวัฒน์ สุนทรหิรัญ ผู้ควบคุมกองจัดงานบุคคลของบริษัทศรีมหาราชา อ้างว่าได้รับมอบหมายจากบริษัทศรีมหาราชา จำกัด ให้มาตกลงเรื่องค่าเสียหายในคดีนี้ โดยนายนันทวัฒน์เสนอความเห็นควรให้ทางบริษัทศรีมหาราชา จำกัดช่วยเหลือค่าซ่อมแซมรถให้แก่นายอุไร 3,000 บาท แต่นายอุไรขอ 7,400 บาท ที่สุดตกลงกันในราคา 5,000 บาท และนายนันทวัฒน์จะได้เสนอทางบริษัทศรีมหาราชาดำเนินการต่อไปจึงให้คู่กรณีทุกฝ่ายลงชื่อไว้” ดังนี้ เห็นว่า นายนันทวัฒน์อ้างว่าได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ให้มาตกลงเรื่องค่าเสียหายในคดีนี้ นายนันทวัฒน์ก็อาจจะเป็นตัวแทนของบริษัทจำเลยที่ 2 ได้โดยผลของการให้สัตยาบัน แต่ได้ความจากนายอุไรพยานโจทก์ว่า วันที่ 18 กรกฎาคม 2512 นายอุไรได้ไปขอรับค่าเสียหายตามนัด แต่ทางบริษัทจำเลยไม่ยอมจ่ายให้โดยไม่ให้เหตุผลจนหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 10 วัน นายอุไรจึงได้นำรถยนต์ของตนไปเข้าอู่ซ่อม แล้วได้ไปถามทางพนักงานสอบสวน ก็ไม่ปรากฏว่าบริษัทจำเลยได้เอาเงินมาให้ ทั้งเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้หลังจากเกิดเหตุแล้วถึง 4 เดือนเศษ จำเลยทั้งสองก็ให้การปฏิเสธความรับผิดชอบโดยตลอดพฤติการณ์แสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 2 มิได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของนายนันทวัฒน์แต่ประการใดเลย กลับจะมาฉวยโอกาสใช้เอกสารหมาย ล.1 ผูกมัดโจทก์ในตอนนี้หาชอบไม่ แม้ข้อตกลงที่ถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายนันทวัฒน์และโจทก์เป็นสำคัญ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรค 2 บัญญัติว่า กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้น ก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย ฉะนั้น การที่นายนันทวัฒน์ไปอ้างว่าได้รับมอบหมายจากบริษัทจำเลยที่ 2 โดยไม่มีหลักฐานการมอบหมายเป็นหนังสือแต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 2 และข้อตกลงในเรื่องค่าเสียหายดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันทั้งโจทก์และจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานและพิพากษาใหม่ จึงชอบด้วยรูปคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน