แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้ตัวประจักษ์พยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความแต่โจทก์อ้างคำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานดังกล่าวเป็นพยานแม้คำให้การชั้นสอบสวนนี้เป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเสียเลย การที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้หรือไม่เพียงใดนั้นย่อมสุดแล้วแต่เหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยรับฟังได้ในฐานะพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ เมื่อโจทก์มีพนักงานสอบสวนผู้สอบปากคำประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวกับบันทึกการชี้ ตัวและภาพถ่ายการชี้ ตัวผู้ต้องหา ทั้งปรากฏว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางที่ยึดได้จากจำเลยและลูกกระสุนปืนของกลางที่ยึดได้จากที่เกิดเหตุและที่ฝังอยู่ในร่างกายของผู้ตาย ปรากฏว่ามีตำหนิ รอยลายเส้นที่ร่องเกลียวและสันเกลียว ตรงกันและเข้ารอยกันได้ จึงรับฟังประกอบคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลย ลงโทษจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371,91, 32, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิที่แก้ไขแล้ว
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีและพกอาวุธปืน แต่ปฏิเสธข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน จำคุก 1 ปี ฐานพกอาวุธปืน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จำคุก 6 เดือนฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีและพกอาวุธปืนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53คงลงโทษฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน จำคุก 6 เดือน ฐานพกอาวุธปืนจำคุก 3 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 33 ปี 4 เดือน รวม3 กระทง จำคุก 34 ปี 1 เดือน ริบกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลางคืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ว่าคดีนี้โจทก์ไม่ได้ตัวนางสาวบัวผัดแก้วระกา นางสาวเทียมจันทร์ วิดิสา และนายสวาท ไชยสิงห์ ผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความเนื่องจากตามหาตัวไม่พบก็ตาม แต่โจทก์ก็อ้างคำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสามมาเป็นพยาน ซึ่งโจทก์มีร้อยตำรวจตรีสุรพงษ์ เหมือนเผ่าพงษ์ พนักงานสอบสวนผู้สอบปากคำคนทั้งสามมาเบิกความยืนยันประกอบคำให้การของคนทั้งสามตามเอกสารหมายจ.24 ถึง จ.26 โดยนางสาวบัวผัดให้การว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ4 นาฬิกา ผู้ตายพูดคุยกับนางสาวบัวผัดในร้านที่เกิดเหตุ จำเลยได้ท้าทายผู้ตาย ขณะผู้ตายเดินตามจำเลยจะออกจากร้าน นางสาวบัวผัดเห็นจำเลยชักอาวุธปืนออกจากเอวจึงบอกให้ผู้ตายทราบ ผู้ตายบอกให้นางสาวบัวผัดกับพวกหลบ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 3 นัด แล้วจำเลยหลบหนีไป นางสาวเทียมจันทร์ให้การว่า เห็นจำเลยกับผู้ตายโต้เถียงกันประมาณ 30 นาที แล้วจำเลยจับแขนผู้ตาย ท้าผู้ตายให้ออกไปชกต่อยกันที่หน้าร้าน จากนั้นจำเลยก็เดินออกไปรอที่หน้าร้านผู้ตายเดินออกไปรอที่หน้าร้าน ผู้ตายเดินออกไปไม่ทันพ้นประตูจำเลยก็ชักอาวุธปืนยิงใส่ผู้ตายบริเวณหน้าอก รวม 3 นัด ในระยะห่างประมาณ 1 วา ผู้ตายวิ่งหนีเข้ามาในร้านได้ 3-4 ก้าว ก็ล้มลง แล้วจำเลยก็หลบหนีไป นายสวาทให้การว่า จำเลยมีปากเสียงกับผู้ตายในร้านที่เกิดเหตุ และจำเลยได้ท้าทายผู้ตายชกต่อยกัน นายสวาทเห็นจำเลยชักอาวุธปืนออกมาจากเอว นายหวังเพื่อนที่มากับจำเลยได้ห้ามจำเลยให้เก็บอาวุธปืนไว้ นายสวาทคิดว่าคงไม่มีเรื่องราวกันแล้วจึงเดินออกจากร้านไปที่ซอยโรงก๋วยเตี๋ยวซึ่งอยู่ข้างร้าน ขณะที่นายสวาทกำลังยืนปัสสาวะอยู่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด จึงเดินมาบริเวณหน้าร้านนั้นอีก เห็นนายหวังและจำเลยเดินออกจากร้านโดยจำเลยถืออาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่ชักออกมาจากเอว แล้วกับนายหวังก็หลบหนีไป ศาลฎีกาเห็นว่านางสาวบัวผัดกับนางสาวเทียมจันทร์เป็นพนักงานเสิร์ฟ ส่วนนายสวาทเป็นผู้ช่วยดูแลร้านที่เกิดเหตุ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุ โดยเฉพาะนางสาวบัวผัดและนางสาวเทียมจันทร์ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเองไม่มีโอกาสที่จะปั้นแต่งเรื่องขึ้นได้ จึงเชื่อว่าคนทั้งสามให้การในชั้นสอบสวนไปตามความจริงโดยมิได้ปรักปรำจำเลย แม้ว่านายสวาทจะให้การแตกต่างไปจากนางสาวบัวผัดและนางสาวเทียมจันทร์บ้าง ในข้อที่ว่ามีพวกของจำเลยอีกคนหนึ่งมาเกี่ยวข้องห้ามปรามจำเลยก่อนเกิดเหตุแต่ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญถึงกับจะทำให้คำให้การของคนทั้งสามรับฟังไม่ได้ จริงอยู่คำให้การชั้นสอบสวนของคนทั้งสามเป็นเพียงพยานบอกเล่าแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังเสียเลย การที่จะรับฟังพยานบอกเล่าได้หรือไม่เพียงใดนั้นย่อมสุดแล้วแต่เหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป คำให้การชั้นสอบสวนของพยานจึงรับฟังได้ในฐานะพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในวันเกิดเหตุนั้นเอง ได้จัดให้คนทั้งสามผลัดกันทำการชี้ตัวคนร้ายโดยให้จำเลยยืนปะปนกับบุคคลอื่นอีกหลายคน คนทั้งสามยังชี้ตัวจำเลยยืนยันว่าเป็นคนร้ายรายนี้ ปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.28, จจ.33 และภาพถ่ายการชี้ตัวหมาย จ.29 ถึง จ.32ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้พร้อมอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 7 นาฬิกาซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากเกิดเหตุเพียงประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น และจำเลยก็รับสารภาพว่ามีและพาอาวุธปืนของกลางโดยผิดกฎหมายจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจตรีจรูญ งดงาม ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ มาเบิกความประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลางเอกสารหมายจ.4 ว่า ได้ตรวจเขม่าดินปืนภายในลำกล้องปืนของกลาง เชื่อได้ว่าได้ใช้ยิงมาแล้วภายหลังการเช็ดล้างครั้งสุดท้าย ลูก(หัว)กระสุนปืนของกลางที่ได้จากที่เกิดเหตุและจากที่ฝังอยู่ในร่างกายของผู้ตายเป็นลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ชนิดทองแดงหุ้มตะกั่วขนาดประมาณ .38เมื่อเปรียบเทียบกับลูกกระสุนปืนที่ใช้ยิงจากอาวุธปืนของกลางแล้วปรากฏว่ามีตำหนิรอยลายเส้นที่ร่องเกลียวและสันเกลียวตรงกันและเข้ารอยกันได้ จึงเชื่อว่าลูกกระสุนปืนของกลางทั้งสองลูกนี้ใช้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลาง ทั้งพยานปากนี้ยังเบิกความต่อไปว่า แม้อาวุธปืนของกลางจะเป็นขนาดลำกล้อง .357 ก็ตาม แต่ก็สามารถยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .38 ได้ เนื่องจากกระสุนปืนทั้งสองขนาดนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือ ขนาด .38 จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางจริงเพียง .358 นิ้ว จึงสามารถใส่เข้าไปในอาวุธปืนขนาด .357 แมกนั่มและยิงได้ พยานปากนี้เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญมีหน้าที่ในการตรวจพิสูจน์เกี่ยวกับอาวุธปืน ฯลฯ และปฏิบัติการไปตามหน้าที่ ไม่รู้จักหรือมีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด ดังนั้น รายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางดังกล่าวและคำเบิกความของพยานปากนี้จึงมีน้ำหนักรับฟัง รูปคดีฟังได้ว่าหัวกระสุนปืนของกลางที่พบในที่เกิดเหตุ และที่ผ่านออกมาจากร่างกายของผู้ตาย ได้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลางที่จำเลยครอบครองอยู่ ยิ่งกว่านี้เจ้าพนักงานตำรวจยังได้ยึดรถจักรยานยนต์ของจำเลยซึ่งทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุอีกด้วย ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยออกจากร้านที่เกิดเหตุไปค้างคืนที่บ้านนายจุนลุงของจำเลยก่อนเกิดเหตุ และให้นายพลยืมรถจักรยานยนต์ของจำเลยไปโดยนายพลจะนำมาคืนในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่นายพลไม่นำมาคืนนั้น จำเลยหาได้นำนายพลมาเบิกความให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ ทั้งไม่นำสืบว่าเหตุใดรถจักรยานยนต์ของจำเลยจึงไปอยู่ที่ร้านที่เกิดเหตุอีกข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง พยานแวดล้อมกรณีของโจทก์คำรับของจำเลยและผลของการพิสูจน์วัตถุพยานเมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับคำให้การชั้นสอบสวนของนางสาวบัวผัด นางสาวเทียมจันทร์และนายสวาทแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้…”
พิพากษายืน.