คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลว่าที่ดินโฉนดที่ 259มีชื่อผู้ร้องนายทองสามีผู้ร้องและนางชดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อ20 ปีเศษมานี้นางชดได้สละกรรมสิทธิ์ส่วนของตนโดยอพยพไปอยู่จังหวัดสระบุรี และมิได้กลับเข้ามาครอบครองที่ดินแปลงนี้อีก และวันที่ 20 ตุลาคม 2493 นางทองสามีผู้ร้องถึงแก่กรรมผู้ร้องจึงได้ครอบครองที่แปลงนี้ทั้งหมดแต่ผู้เดียวโดยสงบเปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของนางชดและส่วนของนายทองสามีผู้ร้อง. จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินส่วนของนางชดและของนายทองเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง คำร้องขอเช่นว่านี้เป็นการอ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ซึ่งผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอฝ่ายเดียวเพื่อให้ศาลไต่สวนแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 78และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 188(1) ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องร้องว่า ที่ดินโฉนดที่ 259 เดิมมีชื่อผู้ร้อง นางชดและนายผาด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2491นางเล็กได้ขอรับมรดกเฉพาะส่วนของนายผาด และในวันเดียวกันนั้นเองนางเล็กได้ขายกรรมสิทธิ์ของตนให้แก่นายทองสามีผู้ร้อง ที่แปลงนี้จึงมีชื่อผู้ร้อง นายทองสามีผู้ร้อง และนางชด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อ 20 ปีเศษมานี้ นางชดได้สละกรรมสิทธิ์ส่วนของตนโดยอพยพไปอยู่จังหวัดสระบุรี และมิได้กลับเข้ามาครอบครองที่ดินแปลงนี้อีกวันที่ 20 ตุลาคม 2493 นายทองสามีผู้ร้องถึงแก่กรรมผู้ร้องจึงได้ครอบครองที่แปลงนี้ทั้งหมดแต่ผู้เดียวโดยสงบด้วยเปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของนางชดและส่วนของนายทองสามีผู้ร้องด้วย จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินส่วนของนางชดและนายทองเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ให้เจ้าพนักงานที่ดินถอนชื่อนางชด นายทอง ออกจากโฉนดที่ดินดังกล่าว และลงชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว

ศาลแพ่งสั่งว่าไม่ใช่เรื่องที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิในทางศาลโดยการร้องขอ เพราะตัวนางชดผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมยังมีตัวอยู่และนายทองเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมอีกคนหนึ่งก็เป็นสามีผู้ร้อง จึงไม่รับคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้ไต่สวนคำร้องขอและสั่งเจ้าพนักงานที่ดินให้ถอนชื่อบุคคล 2 คนคือ นางชดและนายทองออกจากโฉนดแล้วลงชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว สำหรับนายทองนั้น แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นสามีผู้ร้องและว่าถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2493 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2505 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังนายทองตายกกว่า 10 ปี ข้อความในคำร้องมีใจความว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของนางชดและส่วนของนายทองมาโดยความสงบและด้วยเปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา คือ ส่วนของนางชดประมาณ 20 ปีส่วนของนายทองเกินกว่า 10 ปี ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ ที่ดินส่วนของนายทองนั้น ผู้ร้องมิได้อ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดก แต่ผู้ร้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองซึ่งหมายความว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ด้วยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้นเอง

วิธีการจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น ผู้ได้กรรมสิทธิ์จะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 บัญญัติว่า ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง และกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ในข้อ 8(1) ว่า ผู้ได้มาต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอันถึงที่สุดแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวนั้นเมื่อเช่นนี้ ผู้ร้องคดีนี้จึงมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอฝ่ายเดียวเพื่อให้ศาลไต่สวนแสดงว่าตนมีกรรมสิทธิ์ตามกฎกระทรวงที่กล่าวนั้นและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(1) ได้ ฯลฯ

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลแพ่งรับคำร้องขอของผู้ร้องไว้ไต่สวนต่อไปตามกระบวนความ

Share