แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์ ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำแทนจำเลยที่ 2 และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 2 อันจะพอถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ แม้ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยและตัดสินในปัญหานี้มา ก็เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์อันเป็นการต้องห้ามตาม มาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าในการซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์จำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ จึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ ศาลฎีการับฟัง เช่นนั้นไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกันซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ได้ชำระราคาให้แก่โจทก์เลย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์ไม่เคยร่วมค้าขายกับจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยที่ ๒ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อสินค้าจากโจทก์ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้เชิดจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนหรือยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองออกเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ทำให้บุคคลภายนอกผู้สุจริตสำคัญผิด จำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวการจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ด้วย พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ การรับสินค้าจากโจทก์และการออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ เป็นการกระทำของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ มิได้เกี่ยวข้องด้วย และกรณียังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๒ กระทำการเชิดจำเลยที่ ๑ ออกเป็นตัวแทน หรือยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ตามคำฟ้องของโจทก์แสดงซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกันซื้อสินค้าไปจากโจทก์เท่านั้น ไม่มีข้อหาว่าจำเลยที่ ๑ กระทำแทนจำเลยที่ ๒ และเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๒ อันจะพอถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้เชิดจำเลยที่ ๑ หรือยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ในการซื้อสินค้าของโจทก์ไป ดังนั้นในปัญหาที่โจทก์ยกขึ้นเป็นข้อฎีกาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ ถึงแม้ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยและตัดสินในปัญหานี้มา ก็เป็นการตัดสินนอกคำฟ้องและนอกข้อหาของโจทก์ อันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๔๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กรณีจึงไม่มีทางที่จะให้ศาลฎีการับฟังว่า ที่จำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ไปนั้น จำเลยที่ ๒ ได้เชิดจำเลยที่ ๑ หรือยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ดังโจทก์ฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ซื้อเชื่อสินค้าของโจทก์ไปแต่ผู้เดียวโดยจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมซื้อเชื่อด้วย จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง
พิพากษายืน