แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดที่จะเป็นเหตุให้เพิ่มโทษเป็นทวีคูณคามความใน ม.74 นั้น จะต้องเป็นความผิดที่อยู่ในประเภท(หมวด) เดียวกับความผิดในครั้งก่อน
จำเลยเคยต้องโทษฐานลักทรัพย์พ้นโทษแล้วมากระทำผิดครั้งนี้ขึ้นอีก คือ ลักทรัพย์และหน่วงเหนี่ยวเพื่อเรียกสินไถ่สำหรับความผิดครั้งนี้แม้ศาลพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ม. 294 ซึ่งอยู่ในหมวดว่าด้วยการประทุษร้ายต่อทรัพย์และ ม. 270 ซึ่งอยู่ในหมวดว่าด้วยการทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ แต่เมื่อศาลให้ลงโทษจำเลยตาม ม.270 ซึ่งเป็นบทหนักแต่มาตราเดียว ดังนี้ความผิดของจำเลยในครั้งนี้จึงเป็นความผิดซึงปรับอยู่ในหมวดว่าด้วยการทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพเท่านั้นและเป็นความผิดคนละหมวดกับผิดครั้งก่อนซึ่งอยู่ในหมวดว่าด้วยการประทุษร้ายต่อทรัพย์ ดังนี้จะเพิ่มโทษจำเลยตาม ม. 74 ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน+คนใช้ในบ้านนายร้อยตำรวจเอกชัย ได้สมคบกันลักทรัพย์ต่าง ๆ รวมราคา ๔๔๖๕ บาท และได้สมคบกันใช้กำลังพาเอา ด.ญ.ปุ๊ อายุ ๒ ขวบ บุตรนายร้อยตำรวจเอกชัยไปหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อสินไถ่
ก่อนคดีนี้นายวุฒิจำเลยที่ ๑ เคยต้องคำพิพากษาจำคุกฐานประทุษร้ายต่อทรัพย์มาแล้ว ๒ ครั้งไม่เข็ดหลาบตามใบแดงแจ้งโทษขอให้ลงโทษตาม ก.ม. อาญา ม. ๒๙๓,๒๙๔,๒๗๐,๖๓,๗๔ ฯลฯ พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้รั้าย พ.ศ.๒๔๗๙ ม.๔,๘,๙ เพิ่มโทษกักกันและนับโทษต่อจากคดีแดงที่ ๙๕๙/๒๔๙๖
จำเลยทั้งสองรับสารภาพ นายวุฒิจำเลยที่ ๑ รับว่าเคยต้องโทษตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้องจริง ระหว่างพิจารณานายวุฒิ กลับแถลงต่อศาลว่าเท่าที่ให้การรับสารภาพนั้นไม่ได้รับสารภาพเรื่องเรียกค่าสินไถ่ ต่อมาแถลงต่อศาลอีกว่าบัดนี้ไม่ติดใจต่อสู้แล้ว ขอรับสารภาพทุกประการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม. ๒๗๐ ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) ม. ๓ กับ ม. ๒๙๔ ตอนท้ายให้ลงโทษตาม ม. ๒๗๐ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ ๑๕ ปี เพิ่มโทษนายวุฒิจำเลยที่ ๑ ตาม ม. ๗๔ ทวีคูณเป็นจำคุก ๓๐ ปี จำเลยรับสารภาพลดให้กึ่งคงจำคุกนายวุฒิ ๑๕ ปี นางสมจิตร ๗ ปี ๖ เดือน นายวุฒิจำเลยที่ ๑ ต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษามาแล้วสองครั้งและเป็นความผิดเข้าลักษณะเหตุร้ายตาม พ.ร.บ. กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายเมื่อพ้นโทษแล้ว ให้ส่งไปกักกันมีกำหนด ๕ ปี การนับโทษจำเลยทั้งสองให้นับโทษต่อคดีแดงที่ ๙๕๙/๒๔๙๖ ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนล
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นปัญหาเฉพาะการเพิ่มโทษนายวุฒิจำเลยที่ ๑ ว่าจะเพิ่มโทษตาม ก.ม.อาญา ม.๗๔ ทวีคูณได้หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ศาลพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม ม. ๒๗๐ กับม. ๒๙๔ แต่ให้ลงโทษตาม ม. ๒๗๐ ซึ่งเป็นบทหนัก กล่าวคือศาลมิได้ใช้ ม.๒๙๔ อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งอยู่ในหมวดประทุษร้ายต่อทรัพย์เป็นบทลงโทษจำเลย แต่ใช้ ม.๒๗๐ ซึ่งอยู่ในหมวดว่าด้วยการทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพเป็นบทลงโทษจำเลย ความผิดเดิมของจำเลยทั้งสองครั้งอยู่ในหมวดว่าด้วยการประทุษร้ายต่อทรัพย์ทั้งสองครั้ง แต่ความผิดครั้งนี้เป็นความผิดอยู่ในหมวดว่าด้วยการทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ จึงเป็นความผิดคนละหมวดคนละประเภท จะเพิ่มโทษนายวุฒิจำเลยที่ ๑ ได้เฉพาะม. ๗๒ เพียง ๑ ใน ๓ ส่วนเท่านั้น
อนึ่งปรากฎว่าตามสำนวนคดีแดงของศาลชั้นต้นที่ ๙๕๙/๒๔๙๖ ศาลในคดีนั้นได้พิพากษาเพิ่มโทษกักกันนายวุฒิจำเลยที่ ๑ ตาม พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายและคดีถึงที่สุดแล้ว พิพากษาแก้เฉพาะนายวุฒิจำเลยที่ ๑ ให้เพิ่มโทษตาม ก.ม.อาญา ม. ๗๒ จากโทษจำคุก ๑๕ ปี ตาม ม. ๒๗๐ ที่ได้ลงโทษมานั้นเป็น ๒๐ ปี และปราณีตาม ม. ๕๙ คงเหลือโทษจำคุก ๑๐ ปี โดยไม่ต้องเพิ่มโทษกักกัน ตาม พ.ร.บ. ผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายในคดีนี้อีก นอกจากนี้ยืน.