คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแรกนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์ของชาวอินเดีย โจทก์เป็นเพียงผู้จัดการดูแลไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ และตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์และจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของกลางคือของโรงพระ หาใช่ของโจทก์ไม่ การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 เช่าอาคารพิพาทต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็เป็นการกระทำแทนในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระ หาใช่ให้เช่าในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพิพาทส่วนตัวไม่ แม้ตามคดีแพ่งแดงที่ 161/2508 ที่โจทก์ฟ้องจำเลย ที่ 1 ในภายหลัง ขอให้ชำระค่าเช่าอาคารพิพาท โจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระ โรงพระมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องแทน แต่เนื่องจากโรงพระไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลมอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทนไม่ได้ ศาลชั้นต้นจึงยกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้อ้างว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระ ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวเรียกค่าเช่า และขอให้ขับไล่จำเลย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโจทก์และขอเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ศาลพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารพิพาท ให้ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระตกลงยอมให้จำเลยเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมนี้เป็นสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าโจทก์ก็ต้องฟ้องขอให้จำเลยชำระ จะไปร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างทันทีไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอม และศาลพิพากษาตามยอม ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเช่าเดือนต่อๆ ไปให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าชาวอินเดียผู้นับถือศาสนาฮินดูเรี่ยรายเงินเพื่อซื้อที่ดินและสร้างสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา ชื่อว่า”โรงพระเทนดายูด้าปานีสวามี” ได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 1239 ใส่ชื่อบิดาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนส่วนรวม ต่อมานายสุภาลิตัมรับแต่งตั้งจากที่ประชุมชาวฮินดูให้เป็นกรรมการผู้จัดการของโรงพระรวมทั้งที่ดินดังกล่าวนายสุภาลิตัมตกลงให้โจทก์ออกเงินสร้างอาคาร โจทก์ออกเงินสร้าง30,000 บาทเศษ แล้วมอบให้นายสุภาลิตัมเป็นตัวแทนตกลงให้บุคคลภายนอกเช่า นายสุภาลิตัมให้จำเลยที่ 1 เช่าค่าเช่าเดือนละ 200 บาทและห้ามให้เช่าช่วง จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน2503 5 ปีเศษ โจทก์คิดเพียง 5 ปี 12,000 บาท โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากอาคารที่ 39/1 ซึ่งเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 กับโจทก์ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าอาคารที่ 39/1 เป็นของโจทก์และขอเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท ศาลพิพากษาตามยอม ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่135/2508 ของศาลจังหวัด ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าและให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงโดยไม่มีอำนาจ

ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกจากอาคารเลขที่ 39/1 ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้าง 12,000 บาทและให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 400 บาท ฯลฯ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินโฉนดที่ 1239 เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของบิดาจำเลยที่ 1 ได้อุทิศให้โรงพระเมื่อ 50 ปีเศษมาแล้วแต่ล่วงเลยมานานก็ยังไม่มีการสร้างโรงพระ จึงบอกเลิกการยกให้และเข้าครอบครอง นายสุภาลิตัมไม่ได้ตกลงให้โจทก์ปลูกสร้าง ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 จำเลยที่ 1 มิได้ยอมรับว่าอาคารเลขที่ 39/1 เป็นของโจทก์ เมื่อทำสัญญายอมแล้วจำเลยค้างชำระค่าเช่า 2 เดือน โจทก์คดีนี้อ้างว่ารับมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยตามคดีแพ่งแดงที่ 161/2508 หาว่าจำเลยค้างค่าเช่าศาลยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เช่าอาคารจากบิดาจำเลยที่ 1เมื่อบิดาจำเลยที่ 1 ตาย ก็เช่าจากจำเลยที่ 1 ที่ดินและอาคารพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ฯลฯ

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแรกนั้น ตามฟ้องของโจทก์ก็บรรยายข้อเท็จจริงว่าอาคารพิพาทเลขที่ 39/1 เป็นทรัพย์สมบัติของชาวอินเดียส่วนรวมอันมีชื่อว่า “โรงพระเทนดายูด้าปานี สวามี” โจทก์เป็นเพียงผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทสืบแทนนายสุภาลิตัมบารามเจ๊ะตีเท่านั้น โจทก์หาได้กล่าวอ้างว่าอาคารพิพาทเป็นของโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินก่อสร้างไม่ และตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์และจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของกลาง คือ เป็นของโรงพระเทนดายูด้าฯ หาใช่เป็นของโจทก์ไม่การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 เช่าอาคารพิพาทต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ก็เป็นการกระทำแทนในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระเทนดายูด้าฯ หาใช่ให้เช่าในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพิพาทเป็นส่วนตัวไม่ แม้ตามคดีแพ่งแดงที่ 161/2508 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในภายหลัง ขอให้ชำระค่าเช่าอาคารพิพาท 12,000 บาท ที่ค้างชำระอยู่ 5 ปี โจทก์ก็ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระเทนดายูด้าและโรงพระเทนดายูด้ามอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีแทนแต่เนื่องจากโรงพระเทนดายูด้าไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทนไม่ได้ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษายกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้อ้างว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ โจทก์ออกเงินก่อสร้างขึ้นเองเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ฝ่าฝืนต่อสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเลขที่ 39/1 เป็นของโรงพระเทนดายูด้าหาใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์ไม่ ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวเรียกค่าเช่า 12,000 บาทที่ค้างชำระ และขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอาคารพิพาทตามคดีนี้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยสำหรับค่าเช่าระยะที่ 2 หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งเลขแดงที่ 161/2508 (ที่ถูกเป็นคดีแพ่งเลขแดงที่ 135/2508) และโจทก์ขอให้จำเลยชำระแต่วันฟ้องคดีนี้ ว่าเป็นเรื่องโจทก์จะต้องไปร้องขอให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาตามยอม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเช่าตามสัญญายอมความอีกไม่ได้ เพราะเป็นฟ้องซ้ำตามมาตรา 148 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทเลขที่ 39/1 ของโรงพระเทนดายูด้าตกลงยอมให้จำเลยที่ 1 เช่าอาคารพิพาทต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ200 บาท ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมนี้เป็นสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยที่ 1 ผู้เช่าเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นการผิดสัญญา โจทก์ก็ต้องฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระ จะไปร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้างทันทีไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมและศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเช่าเดือนต่อ ๆ ไปให้แก่โจทก์ หากแต่ว่าโจทก์ตั้งรูปคดีฟ้องมาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งเลขแดงที่ 135/2508 กลับอ้างว่าอาคารพิพาทเลขที่ 39/1 เป็นของโจทก์เสียเอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ จึงชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share