คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่กำลังรักษาการณ์ในหน้าที่สรวมเครื่องแบบและมีอาวุธปืน จำเลยได้จับเจ้าทรัพย์ในลักษณะที่เป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ แล้วจำเลยบังคับให้เจ้าทรัพย์ให้ของกลางแก่จำเลย ก็เรียกได้ว่ามันบังคับให้เขาให้ทรัพย์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายแก่ตัวมัน ต้องด้วยข้อบัญญัติตามมาตรา 136 ก.ม.ลักษณะอาญา แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ จึงกลายเป็นความผิดหลายบท แต่ความผิดตามมาตรา 136 มีอัตราโทษหนักกว่า จึงให้วางโทษตามมาตรา 136.

ย่อยาว

ความว่าจำเลยเป็นตำรวจประจำการอยู่สถานีตำรวจนครบาลกลาง ในวันเกิดเหตุจำเลยมีหน้าที่รักษาการอยู่ที่สพานกษัตริย์ศึก นายฮี้เจ้าทรัพย์ซึ่งไปซื้อเสื้อกางเกง และมุ้งที่ตลาดโบ๊เบ๊ เดินทางมาพบจำเลยซึ่งแต่งเครื่องแบบตำรวจมีปืน จำเลยบอกนายฮี้ว่าต้องไปโรงพัก เพราะซื้อของขะโมยมา จำเลยจึงจับนายฮี้พาเดินไปทางวัดเทพศิรินทร์ พร้อมด้วยพวกของจำเลยอีกคนหนึ่ง ซึ่งแต่งกายเป็นพลเรือน แล้วจำเลยกับพวกก็ได้แย่งถุงผ้าออกดู และถามถึงของที่อยู่ในตัวอีก จำเลยกับพวกจะตีนายฮี้ ๆ วิ่งหนี และไปแจ้งความ โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา ๑๓๖,๒๗๐,๒๙๙,๖๓ จำเลยปฏิเสธข้อหา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีผิดตามมาตรา ๒๗๐,๑๓๖ แต่ให้ลงโทษบทหนัก คือมาตรา ๑๓๖ จำคุก ๕ ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๒๙๘ ประกอบด้วยมาตรา ๒๙๓ แต่ให้วางโทษตามมาตรา ๒๙๙ และเป็นความผิดตามมาตรา ๒๗๐ อีกบทหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๙๙ ซึ่งเป็นบทหนัก มีกำหนด ๕ ปี
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๓๖ ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า เวลานั้นจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่รักษาการณ์ในหน้าที่ สรวมเครื่องแบบและมีอาวุธปืน จำเลยไต่ถามและจับเจ้าทรัพย์ในลักษณะที่เป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ แม้จะมีเจตนาทุจจริตอยู่ภายในก็ตามก็เรียกได้ว่าเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ และการที่จำเลยบังคับให้เจ้าทรัพย์ให้ของกลางเหล่านั้นแก่จำเลย ก็เรียกได้ว่า มันบังคับให้เขาให้ทรัพย์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายแก่ตัวมัน ต้องด้วยข้อบัญญัติมาตรา ๑๓๖ แต่จำเลยใช้อำนาจขู่เข็ญว่าจะทำร้ายจนต้องด้วยความผิดฐานชิงทรัพย์อีกบทหนึ่ง จึงกลายเป็นความผิดหลายบท แต่ความผิดตามมาตรา ๑๓๖ มีอัตราโทษหนักกว่า
พิพากษาแก้ให้วางโทษจำเลยตามมาตรา ๑๓๖ นอกนั้นยืนตาม

Share