คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยโกรธเคืองโจทก์ที่ฟ้องเรียกที่ดินที่ยกให้กลับคืน เพราะเหตุเนรคุณ จึงได้ยักย้ายถ่ายเททรัพย์ไปยังผู้ร้องทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โดยฝ่ายผู้ร้องก็น่าจะได้รู้เท่าถึงความจริงที่โจทก์ต้องเสียเปรียบนั้นด้วยเช่นนี้ โจทก์จึงชอบที่จะขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยและผู้ร้องเสียได้

ย่อยาว

คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้อง่ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาให้ที่ดินที่โจทก์ให้จำเลยผู้เป็นบุตรอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้เพิกถอนการให้นั้นเสีย และจำเลยและบริวารขัดขวางไม่ให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินและไม่ยอมคืนที่ดินให้โจทก์ โจทก็ขอให้ศาลสั่งยึดสวนยางให้โจทก์
ผู้ร้อง ร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องซื้อจากจำเลยได้จดทะเบียนทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
โจทก์ต่อสู้ว่า จำเลยกับผู้ร้องเจตนาทุจริตคบคิดกันฉ้อโกงไม่ให้โจทก์ได้ที่ดินคืนและเป็นการโอนในระหว่างคดี
ศาลชั้นต้นเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องและจำเลยสมยอมกัน พิพากษาถอนการยึด
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนการให้เพราะจำเลยประพฤติเนรคุณ ในชั้นส่งหมายเรียกแก้ฟ้อง สามีจำเลยไม่ยอมรับหมาย ในที่สุดเมื่อเจ้าพนักงานปิดหมาย จำเลยจึงยื่นคำให้การเสนอภายหลังที่จำเลยได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องเรียบร้อยไปแล้ว แต่ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนขายที่ดินให้ผู้ร้องพอจำเลยรับหมายเรียกได้เพียง ๒ วัน จำเลยก็ยื่นคำให้การต่อศาบรับตามคำฟ้องของผู้ร้องทุกประการ และทำสัญญายอมความกันเสร็จไปในวันเดียวกันนั้นเอง แสดงให้เห็นว่า ในคดีที่โจทก์บิดาตนฟ้อง จำเลยหาทางบ่ายเบี่ยงจนทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องสำเร็จแล้ว จึงได้ยื่นคำให้การสู้คดี แต่ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องนั้น จำเลยรีบเร่งให้เสร็จไปอย่างที่เรียกว่าไม่ให้ข้ามวันข้ามคืน ดูประหนึ่งว่าตระเตรียมการล่วงหน้าพร้อมอยู่แล้วทีเดียว อีกอย่างหนึ่งพอโจทก์ฟ้องคดีเพิกถอนการให้แล้ว ในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ผู้ร้องก็ฟ้องจำเลยขอให้โอนขายที่ดินที่บิดาจำเลยยกให้จำเลยนั้นแก่ตน พฤติการณ์เป็นดังนี้ น่าเชื่อว่าผู้ร้องได้รู้เรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยดีอยู่แล้ว รูปคดีมีเค้าว่า มีผู้ช่วยเหลือให้จำเลยโอนขายที่ดินในระหว่างคดีที่โจทก์ฟ้องฝ่าฝืนระเบียบการ จึงไม่น่าเชื่อว่าหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างกับเลยกับผู้ร้องได้เป็นไปโดยสุจริต พฤติการณ์แห่งคดีแสดงว่า จำเลยมีความโกรธเคืองโจทก์ที่ฟ้องเรียกที่ดินที่ยกให้แล้วกลับคืนเพราะเหตุเนรคุณ จึงได้ยักย้ายถ่ายเททรัพย์ไปยังผู้ร้องทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบโดยฝ่ายผู้ร้องก็น่าจะได้รู้เท่าถึงข้อความจริงที่โจทก์ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์จึงชอบที่จะขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซึ่งขายที่พิพาทระหว่างจำเลยและผู้ร้องเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์เสีย

Share