แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินและเรือนเป็นของภริยาก่อนสมรส และได้ทำสัญญาก่อนสมรสว่า สามีจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของภริยาก็ตาม แต่เมื่อภริยาปล่อยให้สามีลงชื่อในใบไต่สวนเพื่อขอออกโฉนดว่าเป็นที่ของสามี แล้วสามีเอาไปจำนองผู้อื่นและเอาเงินนั้นมาซื้อรถยนต์ใช้รับส่งคนโดยสารอันเป็นอาชีพของสามีภริยา เป็นเหตุให้ผู้รับจำนองเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นที่ของสามี ดังนี้ การจำนองนั้นสมบูรณ์ใช้บังคับได้และผูกพันภริยา
ในกรณีที่ผู้รับจำนองร้องขอรับชำระหนี้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 นั้น เมื่อฝ่ายใดอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้น ย่อมเป็นการฟ้องคดีต่อศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีธรรมดาและต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาตามราคาที่ผู้รับจำนองตั้งพิพาท ไม่ใช่ราคาที่โจทก์นำยึด
ย่อยาว
โจทก์นำยึดทรัพย์จำเลยเพื่อขายทอดตลาดตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินกับเรือนที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้ทำสัญญาจำนองต่อเจ้าพนักงานที่ดินไว้กับผู้ร้อง และค้างชำระต้นเงินกับดอกเบี้ยรวม 26,916 บาท โดยจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นเจ้าของในใบไต่สวน การจำนองนี้จำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยาทราบดี และนำเงินที่จำนองมาซื้อรถยนต์หาประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 จึงขอให้งดการขายทอดตลาดจนกว่าจะไถ่จำนองหรือถ้าศาลสั่งขาย ก็ให้หักใช้หนี้จำนองกับดอกเบี้ยก่อน
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นทรัพย์ส่วนตัวของจำเลยที่ 2ก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาก่อนสมรสว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มีชื่อในหน้าสำรวจเพื่อขอออกโฉนด แต่โฉนดยังมิได้ออกให้ การจำนองเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 ไม่รู้เห็นในการจำนอง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การจำนองถูกต้องตามกฎหมาย จึงสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองก่อน
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 นำสำรวจที่พิพาทและลงชื่อในใบไต่สวนว่าเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วเอาไปจำนองกับผู้ร้องนั้นเป็นการแสดงตนว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่พิพาทและจำเลยที่ 2 ก็ทราบดี เงินที่จำนองก็นำมาซื้อรถยนต์ใช้รับส่งคนโดยสารอันเป็นอาชีพของจำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นเหตุให้ผู้รับจำนองเชื่อโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 สัญญาจำนองจึงผูกพันทรัพย์รายนี้และใช้บังคับกันได้
ส่วนฎีกาที่ว่า ค่าขึ้นศาลโจทก์ควรเสียในทุนทรัพย์เพียง 5,500 บาท ตามราคาที่โจทก์นำยึดนั้น เห็นว่า แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องขอให้ชำระหนี้จำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 ไม่ใช่เป็นเรื่องร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 ก็ดี แต่เมื่อฝ่ายใดไม่พอใจคำสั่งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ฎีกามา ก็เป็นการฟ้องคดีต่อศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีธรรมดาและต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์ที่ผู้ร้องตั้งพิพาท
พิพากษายืน