คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลรัษฎากรที่บัญญัติว่า เมื่อผู้อุทธรณ์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จะต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล นั้น การฟ้องศาลดังกล่าว ผู้อุทธรณ์ย่อมฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเป็นประธานกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ ไม่จำต้องฟ้องกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ร่วมกันทั้งหมด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้มีหนังสือแจ้งคำชี้ขาดอุทธรณ์ว่า โจทก์มีรายรับขายของประเภทการขายผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้นำมารวมยื่นเสียภาษีการค้า ให้โจทก์นำเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน ๗,๔๐๘.๔๗ บาท ไปชำระ โจทก์ไม่มีรายรับดังกล่าว จึงขอให้เพิกถอนคำสั่งชี้ขาดและพิพากษาว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าประเภทขายของ
จำเลยให้การตัดฟ้องว่า การฟ้องศาลต้องฟ้องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่โจทก์ฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสจึงเป็นการฟ้องผิดตัว และให้การต่อสู้ในข้ออื่น ๆ ด้วย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มิได้ฟ้องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่ฟ้องนายพันธุ สายตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสเป็นส่วนตัว ซึ่งไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำอุทธรณ์ ไม่มีทางบังคับจำเลย จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายก ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้และพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่ออ่านฟ้องและเอกสารแนบท้ายฟ้องของโจทก์รวมกัน ก็เข้าใจได้ว่า โจทก์ได้ฟ้องนายพันธุ์ ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเป็นประธานกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ หาใช่โจทก์ประสงค์จะฟ้องนายพันธุ์เป็นส่วนตัวหรือฟ้องผิดตัวดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกานั้นไม่
ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จำต้องฟ้องคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งสามคน จะฟ้องนายพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดคนเดียวไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องฟ้องกรรมการทั้งสามคน การที่โจทก์ฟ้องนายพันธุ์ ก็ฟ้องในฐานะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และในฐานะเป็นประธานกรรมการพิจารณาอุทธรณ์อยู่แล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องได้
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย

Share