คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1078/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งมีภูมิลำเนาในเขตศาลแพ่ง อ้างว่าเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่มูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกกันได้ โจทก์จึงเสนอคำฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ชพ.๐๑๓๗๗ ไว้เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๐ มีระยะเวลาคุ้มครองหนึ่งปี จำเลยที่ ๑เป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ชบ.๒๗๗๑๒ และเป็นนายจ้างนายคำแสนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชบ.๒๗๗๑๒ เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๐ ขณะที่นายจำรัส เจริญสุข ขับรถคันหมายเลขทะเบียน ชพ.๐๑๓๗๗ จากจังหวัดชุมพรมาตามถนนเพชรเกษมไปกรุงเทพมหานครถึงหลักกิโลเมตรที่ ๓๐๖ – ๓๐๗ เกิดชนกับรถคันหมายเลขทะเบียน ชบ.๒๗๗๑๒ ของจำเลยที่ ๑ และโดยความประมาทเลินเล่อของนายคำแสนคนขับรถของจำเลยที่ ๑ ฝ่ายเดียว ทำให้รถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหายมาก โจทก์ได้จัดการซ่อมเสียค่าซ่อมไป ๑๐๔,๑๐๐ บาท จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันมาฟ้องคดีนี้ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่ามีภูมิลำเนาที่จังหวัดนนทบุรี เขตอำนาจศาลจังหวัดนนทบุรี นอกเขตอำนาจศาลแพ่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลแพ่ง จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชบ.๒๗๗๑๒ ไม่ได้เป็นนายจ้างนายคำแสน ขณะเกิดเหตุรถยนต์คันนี้ไม่ได้มีสัญญาประกันภัยเป็นหนังสือไว้กับจำเลยที่ ๒ เหตุเกิดขึ้นเพราะนายจำรัสขับรถคันหมายเลขทะเบียน ชพ.๐๑๓๗๗ ด้วยความประมาท โจทก์ไม่ได้จ่ายเงินค่าซ่อมรถตามฟ้องจึงไม่มีอำนาจรับช่วงสิทธิมาฟ้องคดีนี้ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าโจทก์ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชพ.๐๑๓๗๗ และไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑๐๔,๑๐๐ บาทแก่ผู้เอาประกันภัยจึงไม่ได้รับช่วงสิทธิ ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ชบ.๒๗๗๑๒ เหตุที่รถชนกันเพราะความประมาทของคนขับรถคันหมายเลขทะเบียน ชพ.๐๑๓๗๗ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๗๙,๕๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาในข้อกฎหมายว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ศาลแพ่งและศาลแพ่งไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ เพราะจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนนทบุรี และจะถือว่าศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับคดีไว้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๔ (๓) ไม่ได้ เพราะในประเด็นเรื่องนี้ศาลแพ่งมิได้วินิจฉัยไว้การฟ้องคดีจึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๔ (๒)
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่ง อ้างว่าเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีที่มูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกกันได้ โจทก์จึงเสนอคำฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕ วรรคสอง
พิพากษายืน

Share