แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อปรากฏว่าปืนคาไบร์สองกระบอกนี้เป็นปืนไม่มีทะเบียนและเป็นปืนชนิดที่ใช้ในราชการทหาร เช่นนี้จำเลยก็น่าจะต้องรู้ว่าปืนนั้นได้พ้นมาจากการครอบครองของทางราชการโดยมิชอบประกอบด้วยพฤติการณ์ของจำเลยแสดงความพิรุธ จึงทำให้เห็นได้ชัดว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าปืนนั้นเป็นของร้ายได้มาจากการกระทำความผิด จึงต้องมีผิดฐานสมคบกันรับของโจรตาม มาตรา321
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยสมคบกันลักทรัพย์หรือรับของโจร(ปืนคาไบน์) กับมีและใช้อาวุธปืนไม่รับอนุญาต
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธเว้นแต่เฉพาะข้อหาฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตจำเลยที่ 2, 3 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 321 กระทงหนึ่ง ฐานมีอาวุธปืนคาไบน์ไม่รับอนุญาตกระทงหนึ่งและมีปืนไรเฟิลไม่รับอนุญาตอีกระทงหนึ่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 แต่ให้ลงโทษบทหนักตาม กฎหมายอาญา มาตรา 321, 70 จำคุกไว้ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 2, 3 มีความผิดฐานรับของโจรกับมีอาวุธปืนคาไบน์ไม่รับอนุญาตรวม 2 กระทง แต่ให้ลงบทหนักตาม กฎหมายอาญา มาตรา 321, 70, 59 คงจำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกาข้อกฎหมายว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับปืนไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้าย
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อปรากฏว่าปืนทั้งสองกระบอกนี้เป็นปืนที่ใช้ในราชการทหาร จำเลยก็น่าจะต้องรู้อยู่แล้วว่าปืนนั้นได้พ้นมาจากความครอบครองของทางราชการโดยทางมิชอบ การที่จำเลยว่าตั้งใจจะเอาไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าตั้งใจเช่นนั้นจริงเหตุใดจึงไม่เอาปืนทั้งสองกระบอกพร้อมทั้งเครื่องอุปกรณ์รวมไว้ด้วยกันในที่แห่งเดียว เหตุใดจึงต้องแบ่งปืนและเครื่องอุปกรณ์กันคนละส่วน พฤติการณ์ของจำเลยส่อแสดงความพิรุธทำให้เห็นชัดว่าจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าปืนนั้นเป็นของร้ายได้มาจากการกระทำความผิด จำเลยทั้งสามจึงต้องมีผิดฐานสมคบกันรับของโจรพิพากษายืน