คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1073/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฎว่าปืนคาไบร์สองกระบอกนี้เป็นปืนไม่มีทะเบียนและเป็นปืนชนิดที่ใช้ในราชการทหารเช่นนี้จำเลยก็น่าจะต้องรู้ว่าปืนนั้นได้พ้นมาจากการครอบครองของทางราชการโดยมิชอบประกอบด้วยพฤติการณ์ของจำเลยแสดงความพิรุธ จึงทำให้เห็นได้ชัดว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าปืนนั้นเป็นของร้ายได้มาจากการกระทำความผิด จึงต้องมีผิดฐานสมคบกันรับของโจร ตาม ม.321

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยสมคบกันลักทรัพย์หรือรับของโจร (ปืนคาไบน์) กับมีและใช้อาวุธปืนไม่รับอนุญาต
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธเว้นแต่เฉพาะข้อหาฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตจำเลยที่ ๒,๓ ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๓๒๑ กะทงหนึ่ง ฐานมีอาวุธปืนคาไบน์ไม่รับอนุญาตกะทงหนึ่งและมีปืนไรเพิลไม่รับอนุญาตอีกกะทงหนึ่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ ม.๗,๗๒ แต่ให้ลงโทษบทหนักตาม ก.ม.อาญา ม.๓๒๑ ,๗๐ จำคุกไว้ ๒ ปี ส่วนจำเลยที่ ๒,๓ มีความผิดฐานรับของโจรกับมีอาวุธปืนคาไบน์ไม่รับอนุญาตรวม ๒ กะทง แต่ให้ลงบทหนักตาม ก.ม.อาญา ม.๓๒๑,๗๐,๕๙ คงจำคุกคนละ ๑ ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกาข้อกฎหมายว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยรับปืนไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้าย
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อปรากฎว่าปืนทั้งสองกระบอกนี้เป็นปืนที่ใช้ในราชการทหาร จำเลยที่น่าจะต้องรู้อยู่แล้วว่าปืนนั้นได้พ้นมาจากความครอบครองของทางราชการโดยทางมิชอบ การที่จำเลยว่าตั้งใจจะเอาไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าตั้งใจเช่นนั้นจริงเหตุใดจึงไม่เอาปืนทั้งสองกระบอกพร้อมทั้งเครื่องอุปกรณ์รวมไว้ด้วยกันในที่แห่งเดียว เหตุใดจึงต้องแบ่งปืนและเครื่องอุปกรณ์กันคนละส่วน พฤติการณ์ของจำเลยส่อแสดงความพิรุธทำให้เห็นชัดว่าจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าปืนนั้นเป็นของร้ายได้มาจากการกระทำความผิด จำเลยทั้งสามจึงต้องมีผิดฐานสมคบกันรับของโจร พิพากษายืน

Share