แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาซื้อขาย จำเลยที่ 2 ร้องสอดขอเป็นจำเลยร่วมและต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของร่วมกัน ดังนี้ ไม่เป็นคำวินิจฉัยนอกประเด็น
สัญญาจะขายที่ดินที่มีเจ้าของร่วมโดยเจ้าของร่วมทุกคนไม่รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญานั้นไม่เป็นโมฆะเป็นแต่เพียงผู้ซื้อจะบังคับผู้ขายให้โอนขายไม่ได้
ผู้จะขายจะมอบที่ให้ผู้จะซื้อเข้าครอบครองสัญญาจะไปโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลังนั้น ถือว่าผู้จะซื้อครอบครองแทนผู้จะขายเท่านั้น (อ้างฎีกาที่ 1232/2491)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่นาหนึ่งแปลง ตำบลเพรงจรเข้ กิ่งอำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรังเป็นราคา 3,000 บาท จำเลยได้รับเงินไปแล้ว และมอบที่นาให้โจทก์ครอบครองและสัญญาว่าจะไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่นาพิพาทให้โจทก์ แต่จำเลยบิดพริ้ว จึงขอให้จำเลยไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์นาพิพาทให้โจทก์หากจำเลยไม่ไปให้ความยินยอมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ขอให้ศาลสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่กิ่งอำเภอย่านตาขาว ทำการโอนนาพิพาทแก่โจทก์ โดยถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงความยินยอมของจำเลย
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า มิได้ทำสัญญาจะขาย หากแต่ได้กู้เงินโจทก์และมอบนาให้ทำต่างดอกเบี้ย ทำสัญญากับโจทก์โดยความสำคัญผิดในสาระสำคัญ ขอให้ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมจำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ครอบครองเป็นเจ้าของมาช้านานแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ตามฟ้อง พยานหลักฐานจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 จัดการโอนที่ดินตามแผนที่กลางให้แก่โจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์จริง แต่ที่ดินรายพิพาทจำเลยทั้ง 2 คนแม่ลูกเป็นเจ้าของร่วมกันมาโดยจำเลยได้รับมรดกมาจากนายเซ็กหรือเข้ง สามีจำเลยที่ 1 ซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2 และฟังว่าจำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอาไปทำสัญญาจะขายให้โจทก์ด้วยสัญญานี้ขัดต่อมาตรา 1361 วรรคสองย่อมตกเป็นโมฆะ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้การครอบครองโจทก์อาศัยอำนาจจำเลย หาเป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาครอบครองไม่ จึงยังไม่ได้สิทธิทางครอบครอง โดยปรปักษ์พิพากษากลับศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อทางพิจารณาได้ความจากพยานของโจทก์เองกับพยานของจำเลยว่าที่พิพาทจำเลยที่ 1 ที่ 2 แม่ลูกได้รับมรดกปกครองมาด้วยกัน จำเลยทั้ง 2 จึงเป็นเจ้าของร่วมกัน และไม่เป็นคำวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่โจทก์โต้เถียง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์เสียหมดทั้งแปลง โดยจำเลยที่ 2 หาได้รู้เห็นยินยอมด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญานั้นไม่เป็นโมฆะตามคำชี้ขาดของศาลอุทธรณ์เป็นแต่เพียงโจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่โจทก์หมดทั้งแปลงตามสัญญาไม่ได้ตามมาตรา 1361(2) เท่านั้นตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1232/2491 คดีระหว่างนางแขม โจทก์นายเบี้ยงจำเลย การครอบครองของโจทก์อาศัยอำนาจจำเลย ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองแทนผู้ขาย
พิพากษายืน