คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 107/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 จะไม่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ทวิ วรรคสาม ตามที่จำเลยที่ 4 ฎีกาก็ตาม แต่คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า การปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 อาจก่อให้เกิดภัยอันตรายแก่พยานและเกิดความเสียหายแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่พิจารณาโดยอาศัยหลักเกณฑ์แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 เพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยไม่เกิดความเสียหายแก่คดีในระหว่างพิจารณาจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนกรณีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 มาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ไม่มีผลให้จำเลยที่ 4มีสิทธิฎีกา

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 4 ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ต่อมาพันตำรวจเอกจุมพล มั่นหมาย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้ ผู้ร้องได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมตำรวจให้นำเอกสารรายงานผลการสืบสวนการข่มขู่ และจ้างวานพยาน รวม 14 ฉบับมายื่นต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณาคดีและแจ้งพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3และที่ 4 ข่มขู่และจ้างวานให้พยานกลับคำให้การในชั้นสอบสวนและไม่ให้ไปเบิกความเป็นพยานต่อศาล ศาลชั้นต้นได้สอบถามผู้ร้องแล้วผู้ร้องแถลงยืนยันว่าข้อความในเอกสารเป็นความจริง และโจทก์ได้ดูเอกสารดังกล่าวแล้ว ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 3 และที่ 4
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า พันตำรวจเอกจุมพล มั่นหมาย ผู้ร้องเป็นพนักงานสอบสวนย่อมมีส่วนได้เสียในคดี โดยมีหน้าที่ปกปักรักษาพยานหลักฐานเพื่อจะนำไปสู่การพิจารณาของศาลต่อไป เมื่อผู้ร้องได้รับการร้องขอจากพยานว่า ถูกจำเลยที่ 4 คุกคามและข่มขู่ผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำร้องแถลงข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นได้การที่ศาลชั้นต้นสอบถามผู้ร้อง แล้วผู้ร้องแถลงยืนยันว่าข้อความในเอกสารท้ายคำร้องเป็นความจริง ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนคำร้องแล้ว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 โดยเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 4 อาจก่อให้เกิดภัยอันตรายแก่พยานหลักฐานของโจทก์ และเกิดความเสียหายแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาจึงชอบแล้ว ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4 และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นมิใช่กรณีเดียวกับการขอปล่อยชั่วคราวที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวยืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งให้ถือเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119 ทวิ วรรคสาม ดังที่จำเลยที่ 4 ฎีกาก็ตามแต่คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4ดังกล่าว เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า การปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 4อาจก่อให้เกิดภัยอันตรายแก่พยานและเกิดความเสียหายแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่พิจารณาโดยอาศัยหลักเกณฑ์แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108เพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยไม่เกิดความเสียหายแก่คดีในระหว่างพิจารณา ซึ่งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน กรณีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 196 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3118/2523 ระหว่างนายพูนศักดิ์ เมธเมาลี ผู้ร้อง พันตำรวจตรีสุขุม เทียมกลิ่นกับพวกผู้คัดค้าน ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4มาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ไม่มีผลให้จำเลยที่ 4 มีสิทธิฎีกาศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้
พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาของจำเลยที่ 4 เสีย

Share