แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 มาตรา 7 ซึ่งต่อมาได้ถูกแก้ไขตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์พ.ศ.2477 มาตรา 3 ก็ดีตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 41 ก็ดี และตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34 ก็ดี จำเลยจะได้ที่วัดไปเป็นของตนก็โดยพระราชบัญญัติทางเดียวเท่านั้น
ฎีกาจำเลยมิได้กล่าวโดยแจ้งชัดว่ากรมการศาสนาไม่มีอำนาจฟ้อง และใบมอบอำนาจใช้ไม่ได้ เรียกค่าเสียหายไม่ได้เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 (ประชุมใหญ่ครั้ง ที่ 5/2509)
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า กรมการศาสนารับมอบอำนาจจากพระครูธรรมลังกาวี เจ้าอาวาสวัดชลธีพฤกษารามให้ฟ้องคดี
เมื่อ พ.ศ. 2449 นางเนียมมารดานางกิมเองจำเลยได้สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นวัดหนึ่ง ในที่ดินของนางเนียม โดยมีนามว่าวัดดอนโตนดมีเนื้อที่ 17 ไร่ 48 ตารางวา ต่อมานางเนียมอุทิศที่ดินแปลงนี้บอกถวายพระราชกุศลให้ทางราชการจังหวัดชุมพร และกรมการศาสนาลงทะเบียนไว้เป็นหลักฐาน วัดโจทก์ได้ยึดถือครอบครองโดยสงบและเปิดเผยตลอดมา ต่อมา พ.ศ. 2465 ขุนเจริญมณีพันธ์พี่ชายนางกิมเอง จำเลยได้จัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงทะเบียนวัดโจทก์และเปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดชลธีพฤกษารามอันเป็นการเปลี่ยนแปลงเขตติดต่อของวัดให้ผิดไปจากทะเบียนเดิม เพื่อเอาที่วัดกลับคืน แล้วขุนเจริญได้ครอบครองที่พิพาทในคดีแพ่งดำที่ 117/2503 เมื่อขุนเจริญตาย ที่นั้นตกได้แก่นางเริ่มและจำเลยในคดีดำที่ 117/2503 นางเริ่มตาย ที่นั้นก็ตกได้กับจำเลยในคดีดำที่ 117/2503 จำเลยได้ร่วมกันแย่งการครอบครองในที่พิพาท ส่วนที่พิพาทในคดีดำที่ 116/2503 ขุนเจริญฯ ให้นางกิมซ้ายเข้าครอบครองตลอดมา จนตกได้กับนางกิมยก นางกิมยกขายที่นั้นให้นางกิมเองจำเลย นางกิมเองจำเลยได้เข้าแย่งครอบครองตลอดมา การที่จำเลยบุกรุกเข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นของวัดเป็นเหตุให้วัดขาดประโยชน์ คือ ที่พิพาทในคดีดำที่ 116/2503 ขาดประโยชน์เป็นเงินปีละ 5,000 บาท ที่พิพาทในคดีดำที่ 117/2503 ขาดประโยชน์เป็นเงินปีละ 3,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาททั้งสองสำนวนเป็นของวัด
นางกิมเองจำเลยในคดีดำที่ 116/2503 ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของวัดผลรายได้ในที่พิพาทในคดีดำที่ 116/2503 คิดเป็นเงินเพียงปีละ 2,500 บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยในคดีดำที่ 117/2503 ต่างให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทในคดีดำที่ 117/2503 เป็นของมารดาจำเลย จำเลยได้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายมานานแล้ว ที่พิพาทมิใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าที่พิพาททั้งสองสำนวนเป็นของวัดชลธีพฤกษาราม พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าที่พิพาททั้งสองสำนวนเป็นที่วัดชลธีพฤกษารามพิพากษาว่าที่พิพาททั้งสองสำนวนเป็นของวัดโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยในสำนวนคดีดำที่ 1593/2505 (ของศาลอุทธรณ์) ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 2,500 บาท กับให้จำเลยในสำนวนคดีดำที่ 1594/2505 (ของศาลอุทธรณ์) ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 500 บาท ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ปี 2502 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่พิพาท
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้โดยที่ประชุมใหญ่ เชื่อว่าที่พิพาททั้งสองคดีนี้เป็นที่ของวัด เมื่อฟังว่าที่พิพาททั้งสองคดีเป็นที่ของวัดแล้ว ถึงแม้จำเลยจะเป็นฝ่ายครอบครองโดยวัดโจทก์มิได้เกี่ยวข้องมาช้านานเท่าใดก็ดีหรือได้มีการโอนขายกันต่อ ๆ มา ดังจำเลยนำสืบก็ดี จำเลยก็ไม่มีทางจะได้ที่พิพาทเป็นของตนเพราะตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 มาตรา 7 ซึ่งต่อมาได้แก้ไขตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2477 มาตรา 3 ก็ดี ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 41 ก็ดี และตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34 ก็ดี จำเลยจะได้ที่วัดไปเป็นของตนได้ก็โดยพระราชบัญญัติทางเดียวเท่านั้น
จำเลยฎีกาว่า กรมการศาสนาไม่มีอำนาจฟ้องและใบมอบอำนาจก็ใช้ไม่ได้เรียกค่าเสียหายไม่ได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าฎีกาของจำเลยข้อนี้มิได้กล่าวโดยแจ้งชัดว่ากรมการศาสนาไม่มีอำนาจฟ้องและใบมอบอำนาจใช้ไม่ได้ เรียกค่าเสียหายไม่ได้เพราะเหตุใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
พิพากษายืน