แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การใช้อาวุธปืนยิงคนนั้นตามธรรมดาก็เห็นได้ว่าผู้ยิงมีเจตนาจะฆ่าเพราะอาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรงสามารถฆ่ากันได้ ยิ่งจำเลยได้รับสารภาพว่าทำผิดตามฟ้อง เมื่อได้ฟังคำประจักษ์พยานโจทก์หมดแล้วยิ่งเห็นได้ชัดว่าจำเลยยิงโดยเจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองเดี่ยวยิงนายสละจนได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเจตนาจะฆ่าให้ตายแต่กระสุนไม่ถูกที่สำคัญจึงไม่ตาย ขอให้ลงโทษ
ชั้นแรกจำเลยปฏเสธ เมื่อสืบพยานโจทก์ 3 คน แล้วจำเลยกลับให้การใหม่ขอรับสารภาพว่าได้ทำผิดตามฟ้องโจทก์จริงและขอถอนคำให้การเดิม
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่เจตนาจะฆ่าผู้เสียหายหากแต่ยิงเพื่อทำร้ายร่างกายเท่านั้น จึงมีความผิดตาม มาตรา 256 ให้จำคุก 5 ปี ลดตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่งลงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ปืนริบ
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ โจทก์ขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าคน จำเลยขอให้ลงโทษในสถานเบา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 249, 60ให้จำคุก 10 ปี ลดฐานรับสารภาพให้ 2 ปี คงจำคุกไว้ 8 ปี นอกจากที่แก้นี้คงยืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสละนั้นตามธรรมดาก็เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่านายสละ เพราะอาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรงสามารถฆ่ากันได้ประกอบกับเมื่อจำเลยได้ฟังคำประจักษ์พยานโจทก์หมดแล้ว จำเลยก็กลับรับสารภาพว่าจำเลยได้ทำผิดตามฟ้อง ฉะนั้นจึงเป็นการประกอบกันให้ฟังได้ว่าจำเลยยิงนายสละโดยมีเจตนาจะฆ่านายสละจริงแต่เห็นควรลดโทษให้จำเลยตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่ง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าให้ลดโทษให้จำเลยตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงเหลือโทษจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้นี้คงยืน