คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1061/2514

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายซึ่งเป็นพี่ชายของจำเลยตบหน้าจำเลยก่อน แล้วตามจำเลยเข้าไปในห้องจะตบตีจำเลยอีก จำเลยจึงคว้ามีดซามูไรยาว 1 คืบทั้งด้ามแทงผู้ตายทางด้านหน้าก่อน และเมื่อผู้ตายจะหนีออกนอกห้อง จำเลยก็แทงข้างหลัง แผลทะลุถึงหัวใจ ผู้ตายล้มลงและถึงแก่ความตายถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2512 เวลากลางวัน จำเลยใช้มีดปลายแหลมยาวทั้งด้ามมีดประมาณ 8 นิ้ว แทงทำร้ายร่างกายนายสว่าง คำมา พี่ชายของจำเลยโดนแทงหลายที่ถูกบริเวณร่างกายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าให้ตาย นายสว่างถึงแก่ความตายปรากฏตามรายงานชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง เหตุเกิดที่ตำบลบุญเรือง อำเภอเชียงของจังหวัดเชียงราย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ในวันเกิดเหตุพร้อมมีดที่ใช้กระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบของกลาง

จำเลย (อายุ 15 ปี) ให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดจริงตามฟ้องแต่ที่กระทำผิดไปเพราะถูกผู้ตายเตะต่อยทำร้ายก่อน

ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยว่าผู้ตายทำร้ายก่อนนั้น จำเลยไม่มีพยานและฟังไม่ได้จากพยานโจทก์ด้วยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้จำคุก 15 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 75 จำคุก 7 ปี 6 เดือน จำเลยรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก3 ปี 9 เดือน ของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง มีดของกลางไม่ริบ

โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์นำสืบว่าบิดามารดาจำเลยและผู้ตายมีบุตร 6 คน ตายเสีย 2 คน นางสาวส่นอายุ 21 ปีเป็นบุตรคนโต ผู้ตายอายุ 18 ปี เป็นน้องคนที่ 2 จำเลยอายุ 15 เป็นคนที่ 3 เด็กหญิงอรุณอายุ 10 ปีเป็นคนสุดท้องบุตรทั้ง 4 อยู่บ้านเดียวกันแต่ลำพังส่วนบิดามารดาแยกไปมีภริยาและสามีใหม่หมด วันเกิดเหตุเวลาราว 8.00 นาฬิกา นางสาวส่นกับเด็กหญิงอรุณเอาข้าวไปให้สุกรกินที่ใต้ถุนบ้าน ส่วนบนบ้านมีแต่ผู้ตายกับจำเลยเพียง 2 คน ขณะนั้นเองมีเสียงดังตึงตังบนบ้านสักครู่ก็เห็นจำเลยถือมีดยาว 1 คืบ เปื้อนเลือดวิ่งลงมาจากบ้านหนีไปทางตะวันตก นางสาวส่นวิ่งขึ้นไปดูบนบ้าน เห็นผู้ตายนอนหงายอยู่นอกห้องนอนและพูดไม่ได้แล้ว นางสาวส่นให้เด็กหญิงอรุณไปบอกบิดาสักครู่บิดามาถึงได้ราว 5 นาทีผู้ตายก็ขาดใจตาย ร้อยตำรวจโทสุเมศวร์ได้รับแจ้งเหตุเวลา 12.00 นาฬิกา จึงไปที่เกิดเหตุ จำเลยถูกคุมตัวอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านแล้วและได้มีดของกลางด้วย ร้อยตำรวจโทสุเมศวร์สอบถามจำเลย จำเลยบอกว่าขณะที่พี่สาวกับน้องสาวอยู่ใต้ถุนบ้านจำเลยทะเลาะกับผู้ตายเรื่องแย่งเม็ดขนุนกิน จำเลยถูกผู้ตายตบหน้าเอาก่อน จำเลยหนีเข้าไปในห้อง ผู้ตายเข้าไปรังแกอีก จำเลยเห็นมีดจึงคว้าเอามาแทง เห็นผู้ตายล้มลง จำเลยตกใจจึงวิ่งหนีลงจากบ้านไปมีดของจำเลยเป็นมีดซามูไร ยาวราว 1 คืน ร้อยตำรวจโทสุเมศวร์เห็นว่าผู้ตายสูงกว่าใหญ่กว่าจำเลย ถ้าสู้กันจำเลยสู้ไม่ได้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าผู้ตายชกต่อยและตบหน้าหลายทีหาว่าจำเลยลักเม็ดขนุนจำเลยถอยไปติดเตียงนอน เห็นมีดของจำเลยวางอยู่บนที่นอน จึงหยิบมีดมาแทนเอา 2 ทีขณะผู้ตายจับแขนดึงเข้าไปจะตบหน้าอีก ผู้ตายล้มลงจำเลยตกใจจึงถือมีดวิ่งลงเรือนไปอยู่ในบ้านป้าจนเจ้าพนักงานมาจับกุมจำเลยไม่คิดจะหนีเพราะรู้สึกตัวว่าได้ทำผิดไป ขอรับสารภาพด้วยความสมัครใจ ปรากฏตามรายงานชันสูตรศพว่าผู้ตายถูกแทง 4 แผลข้างหลังตรงใต้สะบักซ้าย 2 แผล แผลที่ 1 กว้าง 1 เซนติเมตร ยาว1 เซนติเมตรครึ่ง ลึก 2 เซนติเมตร แผลที่ 2 ลึก 5 นิ้วทะลุถึงหัวใจ แผลที่ 3 ใต้ข้อศอกขวา กว้าง 1 เซนติเมตรครึ่ง ยาว 1 นิ้ว แผลที่ 4 ใต้ข้อมือขวาด้านในแผลถลอก

จำเลยไม่สืบพยาน

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยแทงผู้ตายอย่างน้อย 3 ที 3 แผล เพราะเหตุใดจำเลยจึงแทงเอานั้น ตามคำนางสาวส่นและเด็กหญิงอรุณพยานโจทก์ว่าได้ยินเสียงตึงตังบนบ้านก่อน และจำเลยบอกร้อยตำรวจโทสุเมศวร์ในวันนั้นเองว่าทะเลาะกับผู้ตายเรื่องแย่งเม็ดขนุนกิน ผู้ตายตบหน้าจำเลยก่อน จำเลยหนีเข้าไปในห้อง ผู้ตายก็เข้าไปรังแกอีก นางสาวส่นรับว่าผู้ตายชอบข่มเหงรังแก่น้อง ๆ ไม่ค่อยเชื่อฟังพี่สาวและบิดามารดา ผิดกับจำเลยซึ่งอยู่ในโอวาทดี ที่จำเลยทำผิดนี้เข้าใจว่าถูกผู้ตายรังแกก่อนและผู้ตายชอบกินเหล้าเมายาเคยชกต่อยนางสาวส่นด้วย เด็กหญิงอรุณก็ให้การทำนองเดียวกัน ร้อยตำรวจโทสุเมศวร์เห็นว่า ผู้ตายสูงกว่าใหญ่กว่าจำเลยถ้าสู้กัน จำเลยสู้ไม่ได้ จำเลยมีอายุเพียง 15 ปี แม้จะมีทนายที่ศาลตั้งให้ แต่ในชั้นอุทธรณ์ปรากฏว่าผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นผู้เขียนอุทธรณ์ให้จำเลย ฉะนั้น แม้จำเลยจะไม่สืบพยานแม้แต่ตนเอง แต่จากพยานของโจทก์เองก็พอเชื่อได้ว่า ผู้ตายตบหน้าจำเลยก่อนจำเลยสู้ไม่ได้ จึงคว้ามีดมาแทงเอา แต่จำเลยใช้มีดซามูไรยาว 1 คืบ ทั้งด้าม แทงอย่างน้อย 3 ที ซึ่งตามสภาพของบาดแผล คงแทงด้านหน้าก่อน ขณะถูกผู้ตายตามเข้าไปในห้องจะตบตีจำเลยอีก มีดจึงถูกใต้ข้อศอกขวายาว 1 นิ้ว ส่วนที่ใต้ข้อมือขวาด้านในเพียงแต่เป็นแผลถลอก ตอนนี้ผู้ตายคงจะหลบมีดและคงจะหนีเพื่อออกนอกห้อง จึงมีแผลถูกแทงข้างหลังใต้สะบักซ้าย 2 แผลซึ่งห่างกัน 2 นิ้ว โดยแผลที่ 2 เป็นแผลฉกรรจ์มาก ลึกถึง 5 นิ้วทะลุถึงหัวใจ ผู้ตายจึงล้มนอนหงายที่หน้าห้องนอนนั้นเอง ถึงกับพูดไม่ได้และขาดใจตายในเวลาต่อมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งจำเลยก็ยอมรับในชั้นอุทธรณ์ ขอให้แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นป้องกันเกินกว่าเหตุและขอลดหย่อนโทษลงอีก และการกระทำของจำเลยมิได้เกิดขึ้นจากความตื่นเต้น ความตกใจหรือความกลัวที่ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้ จำเลยจึงต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

ปัญหาว่า ควรจะลงโทษจำเลยเท่าใดนั้น จำเลยมีอายุเพียง 15 ปีในฟ้องว่ามีอาชีพทำนา ผู้ตายเป็นพี่ชายจำเลยเองร่วมบิดามารดาเดียวกัน แต่อยู่กันลำพัง 4 คนพี่น้อง เพราะบิดามารดาต่างแยกไปมีภริยาและสามีใหม่หมดทั้งสองคน ทางพิจารณาปรากฏแต่บิดาซึ่งไม่ได้เป็นพยานฝ่ายใด มารดาไม่ปรากฏว่าอยู่ที่ไหน พี่สาวคนโตก็มีอายุเพียง 21 ปี น้องคนสุดท้องอายุเพียง 10 ปี ยังเป็นนักเรียน ที่บ้านจำเลยเลี้ยงสุกรด้วยและจำเลยไม่ใช่เด็กเกเร ผิดกับผู้ตายในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็สำนึกผิด ขอกลับตัวไม่กระทำความผิดต่อไปทั้งหมดนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรปรานีแก่จำเลยเพื่อให้โอกาสกลับตัวและช่วยพี่น้องประกอบอาชีพโดยชอบต่อไป

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 69 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 75 จำคุก 4 ปี จำเลยรับสารภาพ สำนึกผิดโดยดีตลอดมาตั้งแต่ชั้นสอบสวน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี และให้รอการลงโทษจำเลยไว้ภายในห้าปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56มีดของกลางให้ริบ

Share