คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1059/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่ ท. มารดาโจทก์และ ท.ได้ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาต่อมาท.ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ แม้การซื้อขายที่ดินระหว่าง ท. กับจำเลยที่ 1 และการที่ ท. ยกที่ดินพิพาทต่อให้โจทก์จะไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจาก ท. เป็นเวลากว่า 20 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ตามพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำการโดยไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 จำเลยที่ 2 ซึ่งได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทน และโดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่โจทก์จะมีชื่อในโฉนดที่ดินได้อย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ซึ่งโจทก์สามารถที่จะปฏิบัติตาม และได้รับผลตามความประสงค์ของโจทก์อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่อย่างใดศาลฎีกายกคำขอในส่วนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9208ให้นางท้อ มารดาโจทก์ เป็นเงิน 20,000 บาท โดยทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นางท้อได้ครอบครองทำประโยชน์นับแต่วันซื้อขายเป็นต้นมา โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนกระทั่งปี 2513นางท้อได้ยกที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้เข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อมาจากนางท้อจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 20 ปีเศษแล้วขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 9208 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันไปทำการเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9208 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2เสียหากจำเลยทั้งสองไม่กระทำก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กันมาก่อน โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้จำเลยที่ 1 มิได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทให้นางท้อสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ได้ถือประโยชน์ครอบครองมาโดยตลอดและโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาได้ครอบครองและเก็บประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาและได้ยกให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริต นางท้อไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโจทก์เป็นฝ่ายบุกรุกเข้าไปปลูกโรงเรือนในที่ดินพิพาท ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์รื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท หากไม่รื้อถอนให้ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เดือนละ 500 บาท จนกว่าจะรื้อถอนเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นับแต่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้นางท้อแล้ว ก็ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้นางท้อทำประโยชน์ตลอดมาจนกระทั่งนางท้อยกที่ดินพิพาทให้โจทก์เมื่อปี 2513 ซึ่งโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 9208 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ของที่ดินโฉนดเลขที่ 9208 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในเบื้องแรกได้ความว่า นางท้อ ฉัยยา มารดาโจทก์เป็นพี่สาวจำเลยที่ 1 มีบิดามารดาเดียวกัน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2510 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทตามโฉนดเอกสารหมาย จ.1 ให้นางท้อพี่สาวในราคา 20,000 บาทปรากฏตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาปี 2518 จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทกับที่ดินของนางท้ออีก 1 แปลง คือที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ.7ไปจำนองกับธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาโพธารามรวมเป็นเงิน 40,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระดอกเบี้ยไถ่ถอนจำนองและคืนโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.7 ให้นางท้อส่วนโฉนดที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 1 ไม่คืนแต่ไปจดทะเบียนยกให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย เชื่อว่า หลังจากทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 นางท้อมารดาโจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในในที่ดินพิพาทเลย ต่อมานางท้อได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์แม้การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางท้อกับจำเลยที่ 1 และการยกให้ที่ดินพิพาทระหว่างนางท้อกับโจทก์จะไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่โจทก์ก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจากนางท้อเป็นเวลากว่า 20 ปี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรตามพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวส่อให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำการโดยไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และจำเลยที่ 2ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทที่ตนได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทนและโดยไม่สุจริต คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยทั้งสองข้ออื่น ๆ ต่อไป ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 78 และกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติได้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 บัญญัติไว้แล้วว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรซึ่งโจทก์สามารถที่จะปฏิบัติตามและได้รับผลตามความประสงค์ของโจทก์อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคำสั่งศาลให้จำเลยทั้งสองส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทแต่อย่างใดจึงต้องยกคำขอในส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 9208 ตำบลสร้อยฟ้า (บางเลา)อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาท แทนโจทก์

Share