คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1058/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีทรัพย์สินเป็นห้องชุดจำนวน 135 ห้อง มีราคาประมาณ200,000,000 บาท ถึง 300,000,000 บาท จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 1,400,000 บาทเศษ และเป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ประมาณ 110,000,000 บาท นอกจากนี้จำเลยได้นำเงินสดจำนวน1,834,000 บาท มาแสดงต่อหน้าศาล แสดงว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 26200/2529 นับตั้งแต่ศาลแพ่งพิพากษาตามยอมเป็นต้นมา จำเลยไม่เคยชำระหนี้ให้โจทก์เลยโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ของจำเลยและขายทอดตลาดได้เงิน 20,928 บาท จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์ 1,316,470.90บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปีในต้นเงิน 1,020,000 บาทนับแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2529 ถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย251,600 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 1,568,070.90บาท โจทก์ได้ติดต่อทวงถามให้จำเลยชำระหนี้หลายครั้ง แต่กรรมการของจำเลยได้ซ่อนตัวอยู่ในเคหะสถานหรือหลบไปหรือโดยวิธีอื่นแสดงว่าจำเลยไม่สามารถชำระหนี้ได้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว และจำเลยเป็นหนี้โจทก์แน่นอนเกินกว่า 500,000บาทขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยมิใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวทรัพย์สินของจำเลยมีเพียงพอที่โจทก์จะยึดมาชำระหนี้ได้ จำเลยและกรรมการของจำเลยยังคงเปิดดำเนินธุรกิจอยู่เป็นปกติ มิได้ซุกซ่อนตัวอยู่ในเคหะสถานหรือหลบหนีไป หนี้ที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องคดีนี้เกิดจากการร่วมกันกระทำฉ้อฉลของโจทก์และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีนายพรชัยเอื้ออารยาภรณ์ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความว่าหลังจากยึดทรัพย์ครั้งแรกแล้ว โจทก์ให้พนักงานของโจทก์ติดตามเสาะหาทรัพย์สินของจำเลยอีก แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินอะไรที่โจทก์จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ และบริษัทจำเลยก็ปิดประตูไม่พบผู้ใด แต่จำเลยมีนายสมชาย ฤทธิ์นพคุณ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยเบิกความว่าจำเลยมีทรัพย์สินเป็นห้องชุด 135 ห้อง ทางราชการประเมินห้องชุดดังกล่าวราคาตารางเมตรละ 20,000 บาท เมื่อคำนวณเนื้อที่ตามหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดอันเป็นที่ตั้งของห้องชุดตามเอกสารหมายล.4 ประกอบกับเอกสารหมาย ล.3 แล้ว จะได้เงินประมาณ 200,000,000บาท เมื่อชำระหนี้ให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัดเจ้าหนี้ผู้รับจำนองแล้ว จะเหลือเป็นเงินของจำเลยอีก 90,000,000บาท หากขายตามราคาท้องตลาดจะได้ราคาตารางเมตรละ 35,000 บาทและขายไปทั้ง 135 ห้อง จะได้เงินประมาณ 380,000,000 บาทหักชำระหนี้ผู้รับจำนองแล้ว จำเลยยังเหลือเงินอีกประมาณ200,000,000 บาท นอกจากนี้จำเลยยังมีนายลภชัย ชนะชัยชน พยานจำเลยเบิกความสนับสนุนว่า พยานตกลงซื้อห้องชุดจากจำเลย 1 ห้อง ในราคา2,300,000 บาท พยานจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีทรัพย์สินเป็นห้องชุดจำนวน 135 ห้อง มีราคาประมาณ200,000,000 บาท ถึง 300,000,000 บาท จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 1,400,000 บาทเศษ และเป็นหนี้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด ประมาณ 110,000,000 บาท นอกจากนี้ในวันที่29 กันยายน 2532 จำเลยได้นำเงินสดจำนวน 1,834,000 บาทมาแสดงต่อหน้าศาล จากข้อนำสืบของจำเลยและพฤติการณ์ที่จำเลยนำเงินสดมาแสดงต่อศาลดังกล่าว แสดงว่าจำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ยอมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว…”
พิพากษายืน.

Share