คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10570/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ได้รับอนุญาตให้นำรถเข้ามาจอดจะต้องหาสถานที่จอดเอง เก็บกุญแจรถไว้เอง และจะต้องดูแลรถกับทรัพย์สินภายในรถเอง ทั้งนี้ จำเลยไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการในการนำรถเข้าจอด ดังนั้นความครอบครองในรถยังคงอยู่กับเจ้าของรถหรือผู้ที่นำรถเข้ามาจอด จำเลยจึงไม่ใช่ผู้รับฝากรถและไม่ได้รับประโยชน์อันเนื่องจากการที่มีผู้นำรถเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุแต่อย่างใด เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากผลกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าและการบริการซึ่งเป็นปกติทางการค้าเท่านั้น
พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วมไม่ได้กระทำประมาทปราศจากความระมัดระวังปล่อยให้คนร้ายลักรถกระบะคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ออกไปโดยไม่ตรวจสอบบัตรอนุญาตจอดรถให้ถูกต้อง และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ได้ระมัดระวังดูแลรักษาความปลอดภัยสำหรับรถที่มีผู้นำมาจอดในห้างสรรพสินค้าของจำเลยตามสมควรแล้ว การที่รถสูญหายมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรือละเว้นกระทำของจำเลยและจำเลยร่วม ดังนั้นจำเลยและจำเลยร่วม จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 669,223 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 630,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยขอให้ศาลหมายเรียกบริษัทเจนเนอรัล การ์ด กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วม ร่วมกันชำระเงินจำนวน 669,223 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 630,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4 กันยายน 2552) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยและจำเลยร่วม ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติ โดยโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วม มิได้โต้แย้งว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถกระบะหมายเลขทะเบียน ถณ – 2230 กรุงเทพมหานคร ไว้จากนางสาวสุชาพร ห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส สาขามหาชัย เป็นสาขาหนึ่งของจำเลย เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 เวลาประมาณ 20 ถึง 21 นาฬิกา นายสมจิต สามีของนางสาวสุชาพรขับรถกระบะคันดังกล่าวเข้าไปในที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่เกิดเหตุ และรับบัตรจอดรถที่จำเลยร่วมเป็นผู้กำหนดมอบให้ลูกค้าเป็นหลักฐานในการนำรถออกจากห้าง เมื่อนายสมจิตซื้อของแล้วกลับมาที่จอดรถ ปรากฏว่ารถกระบะที่ขับมาสูญหายไป โจทก์ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์เป็นเงิน 630,000 บาท แล้วรับช่วงสิทธิมาฟ้องเป็นคดีนี้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมในประการแรกมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งในปัญหาข้อกฎหมายนี้ ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว และ ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยร่วมในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในประการต่อไปมีว่า จำเลยและจำเลยร่วมต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายของรถกระบะที่โจทก์รับประกันภัยหรือไม่ เห็นว่า แม้ห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุได้จัดให้มีสถานที่จอดรถให้แก่ลูกค้าผู้มาใช้บริการ แต่บุคคลอื่นยังสามารถนำรถมาจอดได้ เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบโดยผู้นำรถเข้ามาในสถานที่จอดรถของจำเลยจะต้องรับบัตรอนุญาตจอดรถจากพนักงานรักษาความปลอดภัย ของจำเลยร่วมในช่องทางเข้า โดยพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วม ไม่ต้องสอบถามหรือตรวจสอบว่าผู้ที่นำรถเข้ามานั้นจะมาเพื่อธุระใด แต่เมื่อนำรถออกไปจะต้องคืนบัตรในช่องทางออก โดยผู้ได้รับอนุญาตให้นำรถเข้ามาจอดจะต้องหาสถานที่จอดเอง เก็บกุญแจรถไว้เอง และจะต้องดูแลรถกับทรัพย์สินภายในรถเอง ทั้งนี้ จำเลยไม่ได้เรียกเก็บค่าบริการในการนำรถเข้าจอด ดังนั้นความครอบครองในรถยังคงอยู่กับเจ้าของรถหรือผู้ที่นำรถเข้ามาจอด จำเลยจึงไม่ใช่ผู้รับฝากรถและไม่ได้รับประโยชน์อันเนื่องจากการที่มีผู้นำรถเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุแต่อย่างใด เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากผลกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าและการบริการซึ่งเป็นปกติทางการค้าเท่านั้น และการที่จำเลยว่าจ้างจำเลยร่วมให้เป็นผู้รักษาความปลอดภัยซึ่งก็เพื่อมุ่งหวังคุ้มครองดูแลทรัพย์สินของจำเลยเป็นสำคัญ ส่วนการที่จำเลยร่วมจัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยและมีโทรทัศน์วงจรปิดควบคุมดูแลรถที่เข้าออกนั้นน่าจะเพื่อจัดการจราจรและเฝ้าระวังคนร้ายที่มีเจตนาโจรกรรมรถ อันเป็นการให้บริการเสริมแก่ผู้นำรถเข้ามาใช้บริการของห้าง แต่หาเป็นผลให้จำเลยมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบยิ่งไปกว่าการดำเนินการตามปกติทางธุรกิจการค้า ผู้ที่นำรถเข้าไปจอดจึงยังมีหน้าที่ต้องดูแลความปลอดภัยรถและทรัพย์สินที่อยู่ภายในรถของตนเอง ส่วนจำเลยและจำเลยร่วมจะมีความรับผิดในความเสียหายหรือสูญหายในทรัพย์สินของผู้เข้ามาใช้บริการนั้น ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความว่าได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในสำนวนปรากฏว่า พนักงานของจำเลยร่วมมอบบัตรอนุญาตจอดรถให้แก่นายสมจิต รับไปแล้วนายสมจิตนำรถเข้าไปจอดเอง แต่รถถูกคนร้ายลักไป โดยได้ความจากบันทึกถ้อยคำผู้เสียหายว่า รถคันดังกล่าวไม่มีอุปกรณ์ป้องกันขโมยและนายสมจิตไม่ได้เอาบัตรอนุญาตจอดรถออกมาจากรถ แม้พันตำรวจโทบุญเลิศ พนักงานสอบสวน ผู้สอบคำให้การนางสาวสุชาพร เบิกความว่า หลังจากที่นางสาวสุชาพรทำการตรวจสอบแล้วตอนแรกเข้าใจว่าลืมบัตรอนุญาตจอดรถไว้ในรถ แต่ต่อมาพบว่าบัตรอนุญาตจอดรถอยู่กับนางสาวสุชาพร จึงบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้นั้น แต่ก็ขัดแย้งกับบันทึกถ้อยคำผู้เสียหาย ที่พนักงานของจำเลยร่วมได้สอบถามนายสมจิตไว้ในวันนั้นหลังเกิดเหตุ แม้บันทึกดังกล่าวนายสมจิตเป็นผู้ลงชื่อผู้ให้ถ้อยคำเองและลงลายมือชื่อไม่เหมือนกับลายมือชื่อของนายสมจิตในคำเบิกความเป็นพยานโจทก์ต่อศาลชั้นต้น แต่นายสมจิตได้เบิกความยอมรับว่าตนได้ให้ถ้อยคำไว้กับพนักงานรักษาความปลอดภัย ตามเอกสารดังกล่าว แม้บันทึกถ้อยคำผู้เสียหาย จะมีข้อความตอนท้ายว่าไม่ต้องการให้ใช้ถ้อยคำให้การทั้งหมดเป็นพยานหลักฐานยืนยันผู้ให้ถ้อยคำก็ตาม แต่เมื่อนายสมจิตเบิกความรับรองเอกสารดังกล่าวจึงสามารถนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสารมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นในสำนวนคดีนี้ได้ ส่วนที่นายสมจิตเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะชุลมุนอยู่ที่ลานจอดรถพบว่าบัตรอนุญาตจอดรถอยู่กับบุตรชายซึ่งหากเป็นความจริงตามที่นายสมจิตอ้าง เหตุใดนางสาวสุชาพรจึงเพิ่งมาแจ้งแก่พันตำรวจโทบุญเลิศ ในวันที่ 25 กันยายน 2551 ซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุถึง 9 วัน และเหตุใดในวันเกิดเหตุนายสมจิตจึงให้ถ้อยคำต่อพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วมตามบันทึกถ้อยคำผู้เสียหาย 2 ว่าไม่ได้เอาบัตรอนุญาตจอดรถออกมาจากรถ พยานหลักฐานของโจทก์เกี่ยวกับบัตรอนุญาตจอดรถจึงมีพิรุธและไม่อาจเชื่อได้โดยแน่ชัดว่าบัตรอนุญาตจอดรถ ที่โจทก์อ้างเป็นพยานจะเป็นเอกสารที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วมมอบให้แก่นายสมจิตจริงหรือไม่ เพราะถ้าหากบัตรอนุญาตจอดรถอยู่กับนายสมจิตแล้ว นายสมจิตย่อมจะต้องแสดงต่อจำเลยและจำเลยร่วมเพื่อยืนยันว่าคนร้ายได้ขับรถออกไปโดยไม่มีการแลกบัตรและตนเองไม่มีส่วนประมาทโดยลืมบัตรอนุญาตจอดรถไว้ในรถ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาประกอบกับรายงานพร้อมรูปภาพประกอบ ซึ่งเป็นภาพถ่ายที่บันทึกด้วยกล้องวงจรปิดปรากฏภาพที่มีการเปิดกระจกรถกระบะคันที่ถูกขโมยขณะจอดที่จุดคืนบัตรด้วยแล้ว จึงเชื่อได้ว่ามีการคืนบัตรอนุญาตจอดรถให้แก่พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วม มิฉะนั้นพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องไม่อนุญาตให้นำรถออกไป จากเหตุผลดังวินิจฉัยมาจึงฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยร่วมไม่ได้กระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังปล่อยให้คนร้ายลักรถกระบะคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ออกไปโดยไม่ตรวจสอบบัตรอนุญาตจอดรถให้ถูกต้อง และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ได้ระมัดระวังดูแลรักษาความปลอดภัยสำหรับรถที่มีผู้นำมาจอดในห้างสรรพสินค้าของจำเลยตามสมควรแล้ว การที่รถสูญหายมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรือละเว้นกระทำของจำเลยและจำเลยร่วม ดังนั้นจำเลยและจำเลยร่วม จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share